ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาดูงาน ณ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาอีกชื่อหนึ่ง คือ โรงเรียนนอกกะลา เป็นโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
โรงเรียนนอกกะลา เป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2546 คัดเลือกเด็กจากเด็กทั่วไปโดยวิธีจับฉลาก นักเรียนที่เข้าเรียนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ที่น่าสนใจ คือ ผู้ปกครองต้องพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับโรงเรียน ในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการปฏิรูปการศึกษา
จุดเริ่มต้นของโรงเรียนมาจากชาวต่างชาติชื่อนายเจมส์ คลาร์ก ได้เข้ามาทำมาหากินในผืนแผ่นดินไทยต้องการแทนคุณแผ่นดินไทย จึงสนับสนุนการลงทุนก่อสร้างโรงเรียน และสิ่งสนับสนุนทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว เป็นจำนวนเงินนับร้อยล้านบาท ปัจจุบันดำเนินงานในรูปแบบมูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา
ในการไปเยือนครั้งนี้ ผู้เขียนได้พบเห็นหลากหลายเรื่องราวที่อยู่นอกกะลาครอบของวงการศึกษา โรงเรียนนอกกะลาเป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ โรงเรียนที่ไม่มีเสียงระฆัง โรงเรียนที่ไม่มีดาวให้ผู้เรียน โรงเรียนที่ไม่ต้องใช้แบบเรียน โรงเรียนที่ไม่มีครูอบรมหน้าเสาธง โรงเรียนที่ไม่จัดลำดับความสามารถผู้เรียน โรงเรียนที่สอนด้วยเสียงเบาที่สุด โรงเรียนที่ให้พ่อแม่มาเรียนรู้ร่วมกับลูก ๆ และเป็นโรงเรียนที่ทุกคนต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในระบบโรงเรียนปัจจุบัน ที่เรามักพบเจอการแพ้คัดออก การหลงลืมมิติด้านจิตวิญญาณของผู้เรียน ลืมความแตกต่างของแต่ละบุคคล เราสร้างเบ้าหลอมที่คิดว่าดีที่สุดแล้วแล้วส่งผู้เรียนเข้าไป ใครออกมาแตกต่าง คือ ความผิด ก่อเกิดความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เรียน ผู้ปกครอง แม้กระทั่งครูผู้สอนเอง
โรงเรียนนอกกะลามีสิ่งที่น่าสนใจในหลายแง่มุม ได้แก่
ให้ผู้เรียนนั่งล้อมวงเรียนในห้องเรียนแบบหกเหลี่ยม เพราะเชื่อว่าเด็กทุกคนมีโอกาสได้เรียนรู้เท่า ๆ กัน ไม่มีเด็กหน้าห้องและเด็กหลังห้อง ครูจะสอนด้วยเสียงที่เบาเพื่อให้ผู้เรียนตั้งใจฟังและเคารพผู้พูด จะใช้การไหว้ เมื่อได้รับและให้สิ่งต่าง ๆ กับผู้อื่น ทั้งเพื่อนนักเรียนด้วยกันและครูผู้สอนในช่วงเวลาทำกิจกรรมในห้องเรียน
การกอด เป็นกิจกรรมที่คุณครูและเด็ก(เล็ก)ต้องกอดกันทุกเช้า ส่วนเด็กโตก็จะมีกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมตามวัย เพื่อพัฒนาคลื่นสมอง สร้างความผ่อนคลายและอารมณ์ที่ดีกับเด็กก่อนเข้าเรียน เป็นนวัตกรรมสำคัญที่โรงเรียนเลือกใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เรียกว่า วิชาจิตศึกษา เน้นให้เด็กรู้คุณค่าของตัวเองและผู้อื่น เพื่อก้าวสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและภูมิคุ้มกันทางจิตใจ เป็นวิชาที่ต้องเรียนในตอนเช้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนตลอดวัน
สำหรับการพัฒนาหลักสูตร และการสอนโรงเรียนเน้นการเรียนรู้ให้เด็กได้ฝึกคิดจากปัญหาและเผชิญกับปัญหาอย่างเข้าใจ จึงเน้นการเรียนแบบ PBL(Problem Based Learning)และจัดทำหลักสูตรของโรงเรียนเป็นหน่วยบูรณาการ โดยร้อยเรียงองค์ความรู้ในหน่วยการเรียน ในรูปแบบการสอนแบบสตอรี่ไลน์ (Storyline)ให้สอดรับและส่งต่อกันในแต่ละระดับชั้น เป็นนวัตกรรมหนึ่งในการพัฒนาความฉลาดภายนอก(ความเข้าใจต่อโลกและปรากฏการณ์)ให้กับผู้เรียน เป็นหน่วยการเรียนแบบบูรณาการที่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จากปัญหาสู่ปัญญา PBL จะทำให้ผู้เรียนไม่กลัวกับปัญหา มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทายซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจต่อปัญหา และหาวิธีการแก้ปัญหาได้ถูกต้อง การเรียนการสอนครูจะเน้นการตั้งคำถามกับผู้เรียน
โรงเรียนมีการออกแบบการสอนแบบย้อนกลับ (Backward design) โดยให้ความสำคัญกับเป้าหมาย จากนั้นจึงออกแบบการประเมิน เพื่อหาสิ่งยืนยันที่ชัดเจนว่าผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ โดยกำหนดเกณฑ์รูบริค(Rubric) ไว้อย่างชัดเจนเป็นตัวชี้วัด แล้วจึงออกแบบหลักสูตรและแผนการสอนในทุกระดับชั้น จัดให้มีการเรียนรู้เน้นโครงงาน เด็กทุกคนก่อนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต้องนำเสนอโครงงาน ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจของตนเอง 1 เรื่อง เหมือนการค้นคว้าอิสระ( IS) ของการเรียนในปัจจุบัน
โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีการสอบ แต่จะใช้วิธีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง ผู้เรียนจะได้จัดทำชิ้นงาน 2-5 ชิ้น ต่อสัปดาห์ อาจเป็นใบงานแผ่นเดียว ผังความคิด แผนภูมิ นิทานภาพประกอบ งาน ฯลฯ จากนั้นจะนำมา show and share ประเมินโดยตนเอง เพื่อน และครู โดยมีการกำหนดเกณฑ์ (Rubric)ที่เป็นที่เข้าใจร่วมกันทุกคน
การประเมินผลรวมเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนเพื่อดูว่าผู้เรียนได้บรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางมากหรือไม่ โดยจะประเมินแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) รายงานการสรุปความรู้ หรือคะแนนสะสมที่ประเมินไว้แต่ละสัปดาห์ นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดการเรียนแต่ละเรื่องทั้งครูผู้สอน ผู้เรียนจะร่วมกันสะท้อนผลงาน หรือกิจกรรมอย่างตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่พอใจและไม่พอใจตลอดจนแนวทางการแก้ไขพัฒนา โดยใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย ซึ่งก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการประเมิน
สิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นและประทับใจในเรื่องการจัดการเรียนการสอน คือ ที่นี่คุณครูจะไม่ด่าผู้เรียน ไม่มีเด็กที่ 1 และเด็กที่โหล่ แต่จะใช้คำถามให้เกิดการคิดเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยตัวผู้เรียนเอง ครูเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้ถ้าเขามีโอกาสในครั้งต่อไป ในการตรวจงานครูจะให้ข้อคิดเห็นว่า ดีเยี่ยม ดีแล้ว(ในขณะนั้น) และจะให้กำลังใจผู้เรียนว่าเขาจะดีและเยี่ยมกว่านี้อีกในครั้งหน้า คุณครูต้องรู้จักการรอคอยและการให้โอกาสตัวเองที่จะยกระดับจิตใจให้มีความเมตตาผู้เรียน ไม่รีบตัดสินเด็กเพียงแค่การเรียนใน ณ เวลานั้น เพราะทุกคนสามารถพัฒนาได้ถ้าเขามี “โอกาส”
โรงเรียนนอกกะลา เป็นโรงเรียนที่สามารถทำความฝัน(การปฏิรูปการศึกษา) ให้เป็นความจริง เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทั้งมิติภายในและมิติภายนอกเพื่อสนองความต้องการของชีวิต คือ ความสุข เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
โรงเรียนนอกกะลาอาจไม่ได้มีทุกอย่างที่เลอเลิศไม่มีที่ติ บริบทและปัญหาที่มีคล้ายกับทุกโรงเรียนที่เราพบ แต่ ณ ที่นี้ มีการจัดการปัญหาอย่างเข้าใจและเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง
โรงเรียนนอกกะลา อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับวงการศึกษาในปัจจุบัน การจัดการศึกษา ไม่ได้เป็นความทุกข์ยาก แต่เป็นโอกาสทองของการได้ทำหน้าที่ เพียงแค่เราเข้าใจและยอมรับกับปัญหาและก้าวเดินไปในทิศทางที่เหมาะสม เชื่อว่า “ความสุข” อยู่ไม่ไกลจากเรา
การศึกษาทางเลือก โอกาสของคนที่ต้องการค้นพบตนเองค่ะ