บทความเรื่อง Post-Truth : The Dark Side of the Brain ในนิตยสาร Scientific American Mind ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๖๐ บอกว่ายุคนี้เป็นยุค “กุความจริง” โดยเฉพาะในวงการการเมือง โดยเขายกตัวอย่างประธานาธิบดี โดแนล ทรัมป์
ทำให้ผมคิดว่า ในเมืองไทยเราก็ใช่ย่อย
เขาบอกว่าปรากฏการณ์กุความจริงแพร่หลายและนิยมทำกันในยุคนี้ เพราะเทคโนโลยีเอื้ออำนวย (เครือข่ายโซเชี่ยล) และสมองมนุษย์ก็ร่วมมือด้วย คือสมองไม่ได้ทำงานอย่างแม่นยำ ยึดข้อมูลหลักฐาน แต่เต็มไปด้วยอคติ คือมักจะรับรู้เรื่องราวข่าวสารที่ตรงกับความเชื่อของตนเอง เขาบอกว่าสมองมนุษย์ ชอบเรื่องราว ทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง คนเราจึงชอบอ่านนิทาน หรือนิยาย
นักวิทยาศาสตร์สมอง ทำวิจัยสแกนสมองด้วยเครื่อง fMRI ขณะอ่านสาระจากโซเชี่ยลมีเดีย ดูว่าสมองส่วนไหนสว่าง (ทำงาน) สัมพันธ์กับการแชร์หรือไม่แชร์ต่อ เขาสรุปว่าการแชร์หรือไม่แชร์ข่าว ขึ้นกับว่าคนนั้นคาดหวังปฏิกิริยายอมรับของผู้รับ ไม่ได้ขึ้นกับความน่าเชื่อถือของข่าว
สมองมนุษย์เสพติดการยอมรับ หรือเสพติดความพอใจจากการได้รับการยอมรับ มากกว่าความน่าเชื่อถือของข่าว
เพราะธรรมชาติของสมองมนุษย์ต้องการการยอมรับ และชอบเรื่องราว ในสมัยเด็กผมจึงได้ยินผู้ใหญ่ พูดว่าเด็กบางคนว่าเป็นคน “ตอแหล” คือกุเรื่องขึ้นมาพูดเล่าเป็นตุเป็นตะโดยไม่มีความจริงเลย สมัยนั้นเรา เข้าใจกันว่าเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นนิสัยไม่ดี มาถึงตอนนี้เราเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของสมอง ขาดการฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง ความมั่นคงในคุณธรรม จึงปล่อยธรรมชาติดั้งเดิมออกมา
มนุษย์เราก็มีทั้งด้านสว่างและด้านมืดเช่นนี้เอง การศึกษาที่แท้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งด้านสว่าง บดบังด้านมืดลงไป
วิจารณ์ พานิช
๓ ต.ค. ๖๐
และ ความพึงใจ ที่แนบกับงานวิจัยต่างๆ (โดยเฉพาะ ในโรงเรียน) อาจจะปรับน้ำหนักของ ความจริงและความพึงใจ...
เรียน อาจารย์
กำลังคิดทบทวน ประเด็นนี้ ในสังคมไทย เช่นกันค่ะ
ขอแสดงความนับถือ
คุณลิขิต
โลกวิทยาศาตร์มีสมองเทียมไว้ใช้กับสมองจริง..(ฝรั่ง..กำลัง..ตอแหลสุดๆ..)..และเราก็ยอมรับ..มันไปแล้ว..(เราก็..ตอแหล..อย่างจริงใจ..เจ้าค่ะในยุคนี้..)