การปฏิบัติทางจิตวิญญาณคือการยืนกรานของความตั้งใจ


38. การปฏิบัติทางจิตวิญญาณคือการยืนกรานของความตั้งใจ


ถาม  ชาวตะวันตกที่เคยมาพบท่านเป็นบางครั้ง ล้วนเผชิญกับความยากลำบากบางอย่า

ความคิดเรื่องบุคคลผู้เป็นอิสระ บุคคลผู้เข้าถึงธรรม ผู้รู้จักตัวตนที่แท้ ผู้รู้จักพระเจ้า บุคคลเหนือโลก ล้วนเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ทั้งหมดที่พวกเขามีในวัฒนธรรมคริสเตียน คือแนวคิดของนักบุญ ของบุคคลผู้เคร่งศาสนา ผู้เคารพกฏหมาย ผู้เกรงกลัวพระเจ้า ผู้รักเพื่อนมนุษย์ ผู้ภาวนาอยู่เสมอ บางครั้งอาจมีแนวโน้มที่จะมีความปิติยินดี และได้รับการยืนยันโดยปาฏิหาริย์บางประการ

แนวคิดของผู้รู้ธรรม (jnana) เป็นเรื่องแปลกสำหรับวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่และค่อนข้างไม่น่าเชื่อ

แม้เมื่อการมีอยู่ของเขาได้รับการยอมรับ แต่ก็ยังถูกมองด้วยความคลางแคลงใจ เช่นกรณีของความรู้สึกสบายที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดด้วยตัวเอง ด้วยการจัดร่างกายและมีทัศนคติทางใจแบบแปลกๆ

แนวคิดของมิติใหม่ในความรู้ตัว เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้และไม่น่าจะเป็นสำหรับพวกเขา

สิ่งที่จะช่วยพวกเขาคือ โอกาสที่จะได้รับฟังท่านผู้บรรลุธรรมพูดเกี่ยวกับประสบการณ์การเข้าถึงธรรมของท่านเอง สาเหตุและการเริ่มต้นของประสบการณ์นั้น ความก้าวหน้าในการปฏิบัติและการเข้าถึง และการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่ท่านผู้บรรลุธรรมพูดอาจยังคงแปลก หรืออาจไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา แต่มันก็ยังคงมีความรู้สึกว่ามันเป็นความจริง บรรยากาศของประสบการณ์จริง สุดจะพรรณาได้ แต่เป็นจริงอย่างยิ่ง ศูนย์กลางซึ่งชีวิตอันเป็นแบบอย่างสามารถอยู่ได้

ตอบ  ประสบการณ์อาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสื่อสารได้ เราจะสื่อสารถึงประสบการณ์ได้อย่างไร?

 

ถาม  ได้ ถ้าเขาคนนั้นเป็นศิลปิน แก่นแท้ของศิลปะคือการสื่อสารอารมณ์ การสื่อสารประสบการณ์

ตอบ  ในการรับการสื่อสาร เธอต้องเปิดใจรับเสียก่อน

 

ถาม  แน่นอน มันต้องมีเครื่องรับ

แต่ถ้าเครื่องส่งไม่ส่ง เครื่องรับจะมีประโยชน์อะไร?

ตอบ  ท่านผู้บรรลุธรรมเป็นของทุกสิ่ง

ท่านยกตัวเองให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอย่างสมบูรณ์พร้อมแก่สิ่งใดๆที่เข้ามาหาท่าน

ถ้าท่านไม่ใช่ผู้ให้ ท่านก็ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม

สิ่งใดก็ตามที่ท่านมี ท่านจะแบ่งปันให้ผู้อื่น

 

ถาม  แต่ท่านจะสามารถแบ่งปันสิ่งที่เป็นท่านได้หรือ?

ตอบ  เธอหมายความว่า ท่านจะทำให้คนอื่นบรรลุธรรมได้หรือไม่?

คำตอบคือ ได้ และไม่ได้

ที่ไม่ได้ เพราะการเป็นผู้บรรลุธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ทำขึ้นได้ พวกท่านเหล่านั้นตระหนักว่าตนเองบรรลุธรรม เมื่อพวกท่านได้กลับสู่จุดกำเนิด กลับสู่ธรรมชาติที่แท้

ฉันไม่สามารถทำให้เธอเป็นในสิ่งที่เธอเป็นอยู่แล้วได้

ทั้งหมดที่ฉันบอกเธอได้คือเส้นทางที่ฉันเดินไป และเชื้อเชิญให้เธอเดินไปในทางเดียวกัน

 

ถาม  นี่ไม่ตอบคำถามของผม ที่ผมมีอยู่ในใจคือชาวตะวันตกที่ชอบวิจารณ์และช่างสงสัย และปฏิเสธโอกาสการมีอยู่ของสภาวะความรู้ตัวที่สูงขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ มีการใช้ยาเสพติดอย่างอ่อน ทำลายกำแพงความไม่เชื่อของเขาได้บ้าง โดยที่เขายังคงมีลักษณะภายนอกแบบวัตถุนิยมเหมือนเดิม

จะใช้ยาเสพติดหรือไม่ใช้ ร่างกายยังคงเป็นข้อเท็จจริงปฐมภูมิ และใจเป็นข้อเท็จจริงทุติยภูมิ

เหนือใจ พวกเขาไม่เห็นอะไรเลย

ตั้งแต่การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ สภาวะของการบรรลุธรรมได้รับการอธิบายในลักษณะของการปฏิเสธ เช่น “ไม่ใช่นี้ ไม่ใช่นั้น”

สิ่งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยหรือ?

ถ้าใช้ถ้อยคำอธิบายไม่ได้ เราไม่สามารถที่จะแสดงมันได้ด้วยวิธีอื่นหรือ?

ผมยอมรับว่าการอธิบายด้วยถ้อยคำไม่สามารถทำได้ เมื่อสภาวะที่จะอธิบายนั้นอยู่เหนือถ้อยคำ

แต่มันก็อยู่ภายในถ้อยคำ

บทกวีเป็นศิลปะของการสื่อสารสิ่งอธิบายไม่ได้โดยใช้ถ้อยคำ

ตอบ  กวีที่สนใจศาสนามีอยู่มากมาย

ลองไปคุยกับท่านเหล่านั้นถึงความต้องการของเธอ

ในแง่ของฉัน การสอนของฉันเรียบง่าย – จงวางใจฉันสักชั่วระยะหนึ่งและทำตามที่ฉันบอก

ถ้าเธอพากเพียร เธอจะพบว่าการวางใจของเธอไม่เสียเปล่า

 

ถาม  แล้วสำหรับคนที่สนใจ แต่ไม่สามารถวางใจในท่านเล่า จะทำอย่างไร?

ตอบ  ถ้าพวกเขาสามารถอยู่กับฉัน พวกเขาจะค่อยๆวางใจในฉัน

เมื่อพวกเขาวางใจในฉัน พวกเขาจะทำตามคำแนะนำของฉัน และค้นพบด้วยตัวเอง

 

ถาม  ที่ผมถามในขณะนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการฝึกอบรม แต่ผมต้องการรู้เรื่องผลของการฝึก

ท่านมีทั้งสองอย่าง

ท่านเต็มใจที่จะบอกพวกเราถึงการฝึกปฏิบัติ แต่ในเรื่องผลของการฝึก ท่านไม่ยอมพูดถึงมัน

ท่านได้แต่บอกว่า สภาวะของท่านนั้นอยู่เหนือถ้อยคำ หรือมิฉะนั้นก็บอกว่า มันไม่มีความแตกต่าง ในขณะที่พวกเรามองเห็นความแตกต่าง ความแตกต่างนั้นไม่มีสำหรับท่าน

ในทั้งสองกรณี พวกเราถูกทิ้งอยู่กับความไม่เข้าใจในสภาวะของท่าน

ตอบ  พวกเธอจะเข้าใจสภาวะของฉันได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่มีความเข้าใจในสภาวะของเธอเอง?

เมื่อเธอขาดอุปกรณ์ของความเข้าใจ สิ่งสำคัญคือหาอุปกรณ์นั้นให้พบเสียก่อน มิใช่หรือ?

มันเหมือนคนตาบอดต้องการเรียนวาดภาพก่อนที่จะรักษาตาให้หายบอด

เธฮต้องการรู้สภาวะของฉัน – แต่เธอรู้สภาวะของภรรยาหรือคนรับใช้ของเธอหรือเปล่า?

 

ถาม  ผมแค่ถามเพื่อได้คำแนะนำบางอย่างเท่านั้น

ตอบ  เอาละ ฉันจะให้เบาะแสสำคัญอย่างยิ่งแก่เธอ – ในที่ซึ่งเธอเห็นความแตกต่าง ฉันไม่เห็น

สำหรับฉัน แค่นี้ก็พอแล้ว

ถ้าเธอคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ ฉันก็ขอพูดซ้ำอีกครั้ง แค่นี้ก็พอแล้ว

จงขบคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และเธอจะได้เห็นในสิ่งที่ฉันเห็น

ดูเหมือนว่าเธอต้องการการบรรลุธรรมแบบเร่งด่วน โดยลืมว่าความเร่งด่วนนั้นต้องเกิดตามหลังการเตรียมตัวที่ต้องใช้เวลานาน

ผลไม้สุกหล่นลงจากต้นในทันที แต่การสุกต้องใช้เวลา

เมื่อฉันพูดเกี่ยวกับการวางใจในฉัน มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แค่พอให้เธอเริ่มเคลื่อนตัวได้

ยิ่งเธอจริงจังมากเท่าไหร่ เธอต้องใช้ความเชื่อน้อยลงเท่านั้น เพราะในไม่นาน เธอจะพบว่า ความเชื่อที่เธอมีให้แก่ฉัน เป็นสิ่งสมเหตุสมผล

ยิ่งเธอมีความมุ่งมั่นมากเท่าใด ความจำเป็นต้องใช้ความเชื่อก็ยิ่งน้อยลง เพราะในเวลาไม่นานเธอจะพบว่าความเชื่อที่เธอมีต่อฉันเป็นสิ่งถูกต้อง

เธอต้องการให้ฉันพิสูจน์ว่าฉันควรค่าแก่การเชื่อ

ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร และฉันต้องทำไปทำไม?

เพราะสิ่งที่ฉันเสนอให้เธอคือแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทันสมัยในวิทยาศาสตร์ตะวันตก

เมื่อนักวิทยาศาสตร์อธิบายการทดลองและผล เธอมักยอมรับคำพูดของเขาเพราะเธอไว้วางใจในเขา และทำการทดลองของเขาซ้ำอีกตามที่เขาอธิบายไว้

เมื่อเธอได้ผลการทดลองที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน เธอไม่จำเป็นต้องไว้วางใจเขาอีกต่อไป เธอไว้วางใจประสบการณ์ของเธอเอง

ด้วยการสนับสนุนของประสบการณ์ เธอก้าวต่อไปและบรรลุผลเบื้องปลายในแบบเดียวกันกับที่นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายไว้

 

ถาม  ใจของชาวอินเดียถูกทำให้มีความพร้อมที่จะเชื่อการทดลองเชิงเมตาฟิสิกส์โดยวัฒนธรรมและโดยการเลี้ยงดู

สำหรับชาวอินเดีย คำว่า “การรับรู้โดยตรงของความเป็นจริงสูงสุด” เป็นสิ่งเชื่อได้ และเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองจากส่วนลึกที่สุดของการมีอยู่เป็นอยู่ของเขา

แต่คำเหล่านี้แทบจะไม่มีความหมายใดๆสำหรับชาวตะวันตก แม้ว่าจะมีการพูดถึงขึ้นมาในบริบทของศาสนาคริสต์ก็ตาม พวกเขาไม่คิดอะไรนอกเหนือไปจากการคล้อยตามกับบัญญัติของพระเจ้าและคำสอนของพระคริสต์

การมีประสบการณ์ตรงต่อความจริงไม่เพียงเป็นสิ่งเหนือความทะเยอทะยาน แต่ยังเหนือความเข้าใจอีกด้วย

ชาวอินเดียบางคนบอกผมว่า “หมดหนทาง ชาวตะวันตกจะไม่มีทางเข้าใจ เพราะเขาไม่สามารถเข้าใจ ไม่ต้องบอกอะไรพวกเขาเกี่ยวกับการบรรลุธรรม ปล่อยให้เขามีชีวิตที่มีปะโยชน์ และเกิดใหม่เป็นคนอินเดีย นั่นแหละ พวกเขาจึงจะมีโอกาส”

บางคนบอกว่า “ความจริง มีอยู่สำหรับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน แต่ความเต็มของขีดความสามารถที่จะเข้าถึงในแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน

ขีดความสามารถนี้มาพร้อมกับความต้องการ ซึ่งเติบโตเป็นการอุทิศตน และท้ายที่สุดกลายเป็นการอุทิศตนอย่างสมบูรณ์เต็มรอบ

เมื่อถึงพร้อมด้วยบูรณภาพและความมุ่งมั่น และความตั้งใจที่แข็งเหมือนเหล็กในการเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ชาวตะวันตกมีโอกาสเท่าๆกับชาวตะวันออก

ทั้งหมดที่เขาต้องการคือการปลุกเร้าความสนใจ”

การที่จะปลุกเร้าความสนใจของบุคคลให้เรียนรู้เรื่องตัวเอง พวกเขาต้องมีความมั่นใจว่ามันมีข้อดีอย่างไร

ตอบ  เธอเชื่อว่ามันเป็นไปได้ที่จะส่งต่อประสบการณ์ของบุคคล อย่างนั้นหรือ?

 

ถาม  ผมไม่รู้เหมือนกัน

ท่านพูดเกี่ยวกับความเป็นหนึ่ง การระบุว่าผู้เห็นกับสิ่งถูกเห็นเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว การสื่อสารก็น่าจะเป็นไปได้

ตอบ  การจะได้รับประสบการณ์ตรงของประเทศใดๆ เธอต้องไปที่นั่นและอาศัยอยู่ที่นั่น

อย่าขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แน่นอนว่า ชัยชนะทางจิตวิญญาณของบุคคล เป็นสิ่งก่อประโยชน์ให้มนุษยชาติ แต่การจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นรายบุคคล จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ใกล้ชิด

ความสัมพันธ์แบบนั้นไม่ใช่สิ่งบังเอิญ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีได้

ในทางตรงกันข้าม วิธีการเชิงวิทยาศาสตร์มีได้สำหรับทุกคน

“ไว้วางใจ – ทดสอบ – ลิ้มรส”

เธอจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้?

ทำไมจึงต้องยัดความจริงลงในปากของคนที่ไม่เต็มใจ

อย่างไรก็ทำไม่ได้

ถ้าไม่มีผู้รับ ผู้ให้จะทำอะไรได้?

 

ถาม  แก่นแท้ของศิลปะ คือการใช้รูปแบบภายนอก เพื่อสื่อประสบการณ์ภายใน

แน่นอนละ เราต้องใช้ความละเอียดอ่อนต่อภายใน ก่อนที่ภายนอกจะเป็นสิ่งมีความหมาย

บุคคลจะพัฒนาความละเอียดอ่อนได้อย่างไร?

ตอบ  ไม่ว่าเธอจะพูดแบบไหน มันก็กลับมาที่จุดเดียวกัน

ผู้ให้มีมากมาย ผู้รับอยู่ที่ไหน?

 

ถาม  ท่านแบ่งปันความละเอียดอ่อนของท่านไม่ได้หรือ?

ตอบ  ได้สิ แต่การแบ่งปันเป็นเหมือนถนนสองเลน

การแบ่งปันต้องมีสองฝ่าย

ใครเต็มใจรับในสิ่งที่ฉันเต็มใจให้?

 

ถาม  ท่านบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียว นั่นยังไม่พอหรือ?

ตอบ  ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ แต่เธอเป็นหนึ่งเดียวกับฉันหรือเปล่า?

ถ้าเป็น เธอจะไม่ถามคำถาม

ถ้าไม่เป็น ถ้าเธอไม่เห็นในสิ่งที่ฉันเห็น ฉันจะทำอะไรอื่นได้นอกจากแสดงให้เธอเห็นหนทางที่จะปรับปรุงการเห็นของเธอ?

 

ถาม  อะไรที่ท่านให้ไม่ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ท่านมี

ตอบ  ฉันไม่เคยกล่าวอ้างสิ่งใดๆว่าเป็นของฉัน

เมื่อ “ฉัน” ไม่มี “ของฉัน” จะมีที่ไหน?

เมื่อสองคนมองดูต้นไม้ คนหนึ่งเห็นผลไม้ซ่อนอยู่ระหว่างใบ แต่อีกคนไม่เห็น

ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่าย

คนที่มองเห็นรู้ว่า ถ้าให้ความสนใจอีกนิดหนึ่ง อีกคนก็จะเห็นเหมือนกัน แต่ไม่มีคำถามเกี่ยวกับการแบ่งปันเกิดขึ้น

เชื่อฉันเถิด ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่หวงความรู้เกี่ยวกับความจริงเอาไว้ แล้วไม่ยอมแบ่งปันกับเธอ

ในทางตรงกันข้าม ทุกอย่างของฉันเป็นของเธอ จงกินฉัน ดื่มฉัน

แต่ในขณะที่เธอพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ให้ ให้” เธอกลับไม่ทำอะไรเลยที่จะรับเอาสิ่งที่ฉันให้

ฉันแสดงให้เธอดูถึงเส้นทางที่ง่ายและลัดลั้น เพื่อเธอสามารถเห็นในสิ่งที่ฉันเห็น แต่เธอกลับยึดอยู่กับนิสัย ความคิด ความรู้สึก และการกระทำเดิมๆ แล้วกล่าวโทษฉัน

ฉันไม่ได้มีอะไรที่เธอไม่มี

การรู้จักตัวตนที่แท้ ไม่ใช่สมบัติชิ้นหนึ่งที่จะให้ได้ หรือจะรับได้

มันเป็นมิติใหม่โดยสิ้นเชิง ที่ซึ่งไม่มีอะไรจะให้หรือรับ

 

ถาม  ถ้าเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุด ช่วยให้พวกผมมีปัญญาที่จะเห็นสิ่งที่ท่านมีในใจของท่าน ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตในแต่ละวัน

ในการกิน ดื่ม พูด นอนหลับ – ท่านรู้สึกอย่างไร?

ตอบ  ถ้าเป็นประสบการณ์ปกติของชีวิต ฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกับท่าน

ความแตกต่างอยู่ในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในประสบการณ์ของฉัน

ฉันไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความกลัว หรือความโลภ ความเกลียด หรือความโกรธ

ฉันไม่ถามอะไร ไม่ปฏิเสธอะไร ไม่เก็บอะไร

ในเรื่องพวกนี้ ฉันไม่มีการประนีประนอม

บางที สิ่งเหล่านี้อาจเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเรา

ฉันจะไม่ประนีประนอม ฉันซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ในขณะที่เธอกลัวความจริง

 

ถาม  จากมุมมองของชาวตะวันตก มีบางอย่างที่รบกวนจิตใจในวิถีทางของท่าน

การนั่งที่มุมห้องคนเดียวแล้วท่องบ่นซ้ำๆว่า “ฉันคือพระเจ้า พระเจ้าคือฉัน” แลดูเหมือนเป็นคนบ้า

เราจะทำให้ชาวตะวันตกมั่นใจได้อย่างไรว่าการปฏิบัติแบบนั้นจะไม่นำไปสู่ความบ้าสูงสุด?

ตอบ  บุคคลที่กล่าวอ้างว่าตนคือพระเจ้า และบุคคลที่ตั้งข้อสงสัยต่อผู้กล่าวเช่นนั้น – ล้วนถูกหลอกทั้งคู่

พวกเขายังหลงละเมออยู่

 

ถาม  ถ้าทั้งหมดคือการฝัน การตื่นคืออะไร?

ตอบ  เราจะอธิบายสภาวะตื่นโยใช้ภาษษของสภาวะหลับได้อย่างไร?

ถ้อยคำไม่สามารถอธิบาย เพราะมันเป็นแค่สัญญลักษณ์

 

ถาม  คำแก้ตัวเดิมๆอีกแล้ว – ถ้อยคำไม่สามารถอธิบายความจริงแท้ได้

ตอบ  ถ้าเธอต้องการถ้อยคำ ฉันจะบอกเธอถึงถ้อยคำโบราณที่ใช้ได้อย่างมีพลัง

จงพูดคำเหล่านี้ซ้ำๆ โดยไม่หยุด แล้วสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับเธอ

 

ถาม  ล้อเล่นหรือเปล่า?

ท่านจะบอกให้ชาวตะวันตกพูดคำว่า “โอม” หรือ “ราม” หรือ “ฮาเร กฤษณา” ซ้ำๆ โดยไม่หยุด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความเชื่อและความมั่นใจที่เกิดจากวัฒนธรรมและพื้นฐานทางศาสนา อย่างนั้นหรือ

ถ้าไม่มีความมั่นใจและความศรัทธามั่นคง การพูดซ้ำๆเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แล้วพวกเขาจะได้รับผลอะไร?

ตอบ  ทำไมล่ะ? สิ่งสำคัญคือแรงกระตุ้น ความบันดาลใจที่ซ่อนเร้นเบื้องหลังการกระทำ ไม่ใช่รูปแบบการกระทำ

ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ถ้าเขาทำเพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขา มันย่อมต้องพาเขาไปสู่การค้นพบนั้นแน่นอน

 

ถาม  ความเชื่อ ไม่จำเป็นต่อประสิทธิภาพของวิธีการหรอกหรือ?

ตอบ  ไม่จำเป็น เพราะความเชื่อคือความคาดหวังผล

การกระทำเท่านั้นที่สำคัญและจำเป็น

ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เพื่อเข้าถึงความจริง มันจะนำเธอไปสู่ความจริง

ขอเพียงให้มุ่งมั่นและซื่อสัตย์

รูปแบบจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญเลย

 

ถาม  ถ้าอย่างนั้น ความจำเป็นในการแสดงออกถึงความปรารถนาของเรา อยู่ตรงไหน?

ตอบ  ไม่จำเป็น การไม่ต้องทำอะไรเลยก็ดีพอๆกัน

แค่ปรารถนา โดยไม่มีความคิดและการกระทำเข้ามาทำให้มันเจือจาง ความปรารถนาที่บริสุทธิ์ และเข้มข้น จะนำเธอไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว

สิ่งสำคัญคือเหตุจูงใจที่แท้ ไม่ใช่กิริยา

 

ถาม  ไม่น่าเชื่อเลย

การทำซ้ำๆ อย่างจืดชืด ในความน่าเบื่อ บนความสิ้นหวัง จะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?

ตอบ  การทำซ้ำๆ การดิ้นรนไปเรื่อยๆ ความอดทน และความขยันหมั่นเพียร แทนที่จะเป็นความเบื่อ ความสิ้นหว้ง และการขาดความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

มันไม่ได้สำคัญโดยตัวของมันเอง แต่สิ่งสำคัญคือความจริงใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นต่างหาก ที่สำคัญ

มันต้องมีการผลักดันจากภายในและจากภายนอก

 

ถาม  คำถามของผมนับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชาวตะวันตก

พวกเขามักคิดในแง่ของเหตุและผล วิถีทางและเป้าหมาย

พวกเขามองไม่เห็นว่ามันจะความเชื่อมโยงเชิงเหตุและผลใดๆ ระหว่างคำที่ใช้ในการท่องบ่น และความจริงสูงสุด

ตอบ  ไม่มีหรอก

แต่มันมีความเชื่อมโยงระหว่างถ้อยคำและความหมายของมัน ระหว่างการกระทำและแรงกระตุ้นของการกระทำ

การฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณคือความตั้งใจที่ถูกยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า

ใครที่ไม่มีความกล้า จะไม่ยอมรับของจริง แม้จะมีคนนำมาเสนอให้

อุปสรรคเพียงหนึ่งเดียวคือ ความไม่เต็มใจที่เกิดขึ้นจากความกลัว

 

ถาม  อะไรหรือที่ต้องกลัว?

ตอบ  กล้วสิ่งที่ไม่รู้อย่างไรล่ะ

สิ่งซึ่งไม่มีไม่เป็น ไม่รู้ ไม่ทำ สิ่งซึ่งอยู่เหนือทุกอย่าง

 

ถาม  ท่านหมายความว่า ในขณะที่ท่านสามารถแบ่งปันวิถีแห่งความสำเร็จของท่าน แต่ท่านไม่สามารถแบ่งปันผลแห่งความสำเร็จได้ เช่นนั้นหรือ?

ตอบ  แน่นอน ฉันสามารถแบ่งปันผลแห่งความสำเร็จได้ และฉันทำอย่างนั้นตลอดเวลา

แต่การแบ่งปันของฉันเป็นภาษาแห่งความเงียบ

จงเรียนรู้ที่จะรับฟังและเข้าใจ

 

ถาม  ผมไม่เห็นว่าเราจะเริ่มต้นได้อย่างไรถ้าไม่มีความเชื่อมั่น

ตอบ  มาพักอยู่กับฉันสักช่วงหนึ่งสิ หรือใส่ใจต่อสิ่งที่ฉันพูดและทำ แล้วความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นในเธอ

 

ถาม  ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พบท่าน

ตอบ  จงพบตัวตนของเธอเอง

จงอยู่กับตัวตนของเธอ รับฟังมัน เชื่อฟังมัน หวงแหนมัน เก็บมันไว้ในใจอย่างต่อเนื่อง

เธอไม่ต้องมีผู้นำทางอื่นใด

ตราบใดที่แรงกระตุ้นต่อความจริงของเธอส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเธอ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีสำหรับเธอ

จงมีชีวิตอยู่โดยไม่ทำร้ายใคร

ความไม่มีอันตรายต่อสิ่งใด เป็นรูปแบบของ โยคะ ที่มีพลังมากที่สุด และมันจะนำเธอไปถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

นี่คือสิ่งที่ฉันเรียกว่า นิสาร์กะโยคะ (nisarga yoga) โยคะธรรมชาติ

มันเป็นศิลปะแห่งการดำรงชีวิตด้วยความสงบสันติและกลมกลืนกับธรรมชาติ ด้วยมิตรภาพและความรัก

ผลของมันคือความสุขที่ไร้ที่มาและเป็นนิรันดร์

 

ถาม  แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีความเชื่อเป็นพื้นฐาน

ตอบ  จงมองเข้าไปภายใน แล้วเธอจะเริ่มไว้วางใจตัวเธอเอง

ในทุกสิ่งทุกอย่าง ความเชื่อมั่นมาพร้อมกับประสบการณ์

 

ถาม  เมื่อมีคนบอกผมว่า เขารู้บางอย่างที่ผมไม่รู้ ผมมี”อะไรหรือที่ท่านรู้ แต่ผมไม่รู้”?

ตอบ  แล้วถ้าเขาบอกเธอว่ามันไม่สามารถอธิบายด้วยถ้อยคำได้ล่ะ?

 

ถาม  ถ้าอย่างนั้น ผมจะเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิด และพยายามเดาเอา

ตอบ  และนี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากให้เธอทำ

จงสนใจฉัน ใส่ใจ จนกระทั่งกระแสแห่งความเข้าใจเดียวกันก่อตัวขึ้น

จากนั้น การแบ่งปันจะเป็นไปโดยง่าย

ตามความเป็นจริงแล้ว การบรรลุธรรมทั้งหมด ก็คือการแบ่งปัน

เธอเข้าไปยังความรู้ตัวที่กว้างขึ้น แล้วแบ่งปันอยู่ภายในนั้น

ความไม่เต็มใจที่จะเข้าไปและแบ่งปัน เป็นอุปสรรคเพียงหนึ่งเดียวของเธอ

ฉันไม่เคยพูดเรื่องความแตกต่าง เพราะความแตกต่างไม่มีสำหรับฉัน

แต่มันมีสำหรับเธอ ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับเธอที่จะนำมันมาแสดงให้ฉันดู

เอามาสิ ความแตกต่างที่ว่า มันมีอยู่ตรงไหน

การจะทำอย่างนี้ได้ เธอจำเป็นต้องเข้าใจฉัน แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง เธอจะไม่พูดถึงความแตกต่างอีกต่อไป

การเข้าใจสิ่งหนึ่งเป็นอย่างดี และเธอก็จะเข้าถึง

สิ่งกั้นเธอจากการรู้ ไม่ใช่การขาดโอกาส แต่เป็นการขาดความสามารถในการโฟกัสภายในใจของเธอต่อสิ่งที่เธอต้องการเข้าใจ

ถ้าเธอสามารถทำแค่เก็บสิ่งที่เธอไม่รู้ไว้ในใจ มันจะเผยความลับของมันออกมา

แต่ถ้าเธอตื้นเขินและไม่อดทน ไม่มุ่งมั่นพอที่จะมองและรอคอย เธอก็จะเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ร้องไห้อยากได้ดวงจันทร์

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 639354เขียนเมื่อ 18 ตุลาคม 2017 18:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 ตุลาคม 2017 18:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท