การเปิดเวทีให้ศิษย์เก่ากับศิษย์ปัจจุบันได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ถือเป็นระบบกลไกอันสำคัญในการพัฒนานิสิตบนถนนสายกิจกรรมที่ผมให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด
การพัฒนาที่ว่านั้น ไม่ใช่แก่พัฒนานิสิตปัจจุบันเท่านั้น ทว่าหมายถึงการพัฒนาศิษย์เก่าไปในตัว มิหนำซ้ำยังช่วยให้เราได้เห็นพัฒนาการของศิษย์เก่าไปในทีด้วยเช่นกัน
การมาเยือนของ “ศิษย์เก่า” มีคุณประโยชน์ต่อ “ศิษย์ปัจจุบัน” เป็นพิเศษ อย่างน้อยศิษย์เก่าที่เชิญมาก็มีฐานะเป็นผู้ท่องโลกในมหาวิทยาลัยมาก่อน เห็นความเป็นจริงในหลากเรื่องและหลากมุมของความเป็นมหาวิทยาลัยมาก่อน ถึงแม้วันที่มีสถานะเป็นนิสิตจะอาจยังไม่หยั่งลึกในเรื่องเหล่านั้นพอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป “ผลึกชีวิต” ย่อม “ตกผลึก” เสร็จสรรพ เมื่อกลับมาวันนี้จึงย่อมสามารถสะท้อนอย่างมีตรรกะ และเป็นมุมคิดที่ “ชวนคิด” สำหรับผู้ที่เป็นศิษย์ปัจจุบัน
หรือกระทั่งการออกไปท่องโลกจริงในสังคมการงานและการใช้ชีวิตของศิษย์เก่า ก็เป็นประเด็นน่าสนใจ เพราะอย่างน้อยผมก็เชื่อว่าการขับเคลื่อนชีวิตเช่นนั้นย่อมอาศัยทุนชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยไปหนุนเสริมอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่มากก็น้อย --
และการกลับมาก็ย่อมเชื่อมร้อยให้ศิษย์ปัจจุบันได้เห็นความเกี่ยวพันของชีวิตในมหาวิทยาลัยฯ ที่จะเป็นเสมือนต้นทุน หรือคลังเสบียงที่จะต้องเก็บเกี่ยวเอาไปใช้ในความเป็นจริงเมื่อก้าวข้ามออกไปจากมหาวิทยาลัย
ก็ด้วยเหตุฉะนี้ ทั้งผมจึงให้ความสำคัญกับการเชื้อเชิญศิษย์เก่าคืนกลับมาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับน้องนิสิตเป็นระยะๆ เพื่อก่อให้เกิดการแบ่งปันความรู้และชีวิตต่อกัน หนุนเสริมแรงบันดาลใจต่อกัน ซึ่งกระบวนการเชื้อเชิญที่ว่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวโยงกับการทำงานตาม “ตัวชี้วัด” ใดๆ เพราะผมไม่ได้รับผิดชอบเรื่องเหล่านั้น แต่ผมคิดและทำ เพราะผมเห็นว่า “สำคัญ” หลายครั้งก่อนทำอธิบายต่อผู้บริหารและทีมงานเด่นชัด บ่อยครั้งก็ทำโดยไม่อธิบายใดๆ ปล่อยให้ความจริงเปิดเปลือยผ่านกระบวนการ หรือหน้างานนั้นๆ
กรณีดังกล่าวนี้ ในปีการศึกษา 2559-2560 ผมและทีมงานเชิญศิษย์เก่ากลับคืนสู่มหาวิทยาลัยฯ ได้หลายคน ส่วนใหญ่ก็ชี้เป้าไปยัง “อดีตนักกิจกรรม” เป็นหลักนั่นแหละ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นผู้ที่มีสถานะเป็น “ผู้นำอย่างเป็นทางการ” และ “ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ” ---
ล่าสุด (วันที่ 23 กันยายน 2560) ผมชี้เฉพาะเจาะจงให้ทีมงานเชิญคุณ “สมปอง มูลมณี” มาเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดโครงงานคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติ ระดับอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้เหตุผลหลักๆ คือ “เจ้าปอง” รู้และเข้าใจแก่นสารของกิจกรรมนี้เป็นอย่างดียิ่ง กล่าวคือ
นั่นยังไม่รวมคุณสมบัติอื่นๆ อันเป็นต้นทุนเดิมในถนนสายนักกิจกรรมของเจ้าตัว เช่น เป็นนักกิจกรรมในวิถีธรรมชาติ-ไม่เป็นทางการ กล่าวคือไม่มีตำแหน่งเป็นทางการในองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรม แต่ชีวิตก็ไม่เคยตกหล่น หรือหล่นหายไปจากถนนสายกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมในระดับคณะ (สโมสรนิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) กอปรกับบุคลิกภาพ “เข้าง่าย-ไปคล่อง” ก็ชอบที่จะพาตัวเองไปโผล่ในกิจกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง จนผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตาในวงกว้าง
ต่อเมื่อเจ้าตัววางมือจากทางคณะ ผมก็ “จีบ” มาทำกิจกรรม “อิงระบบ” ในกลุ่มอิสระในชื่อ “กลุ่มไหล” ซึ่งก็สร้างปรากฏการณ์กิจกรรมอย่างน่าทึ่งในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” หรือในแบบฉบับตามสโลแกนของกลุ่มไหล คือ “สาระบนความไร้สาระ อิสระที่มีแบบแผน” ซึ่งกิจกรรมเด่นๆ ของกลุ่มนี้ก็คือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัย การจัดกระบวนการเรียนรู้บนฐานคิดของการจัดการความรู้ในแบบบันเทิงเริงปัญญา ฯลฯ
ฯลฯ
โดยส่วนตัวแล้วตอนที่ทำงานด้วยกัน ผมชอบมอบภารกิจงานด้านชุมชนให้เขาทำ ไม่ใช่เขา "หน้าตาบ้านๆ" หรอกนะครับ แต่เพราะรู้และสัมผัสได้ว่าเขา "มีของ" บางอย่างที่จะทำให้การงานเหล่านั้นบรรลุล่วงไปได้ด้วยดี แถมมีโวหารวาทะศิลป์ในแบบ "โหด ฮา ปรัชญา" ที่ลงตัว รวมถึงเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย หรือแม้กระทั่งเวลาผม "ดุด่า" (สอนงานแบบถึงลูกถึงคน) ก็จะอดทนอดกลั้น "ทำต่อ" แบบไม่ "ฟาดงวงฟาดหาง"
แถมมีบารมีมนต์เสน่ห์ "เรียกเด็ก" ได้อย่างสบาย -
เรียกเด็กในที่นี่หมายถึงสามารถชวนนิสิตมาทำกิจกรรมกับเขาได้ต่อเนื่อง แถมตัวเขาเองก็ไม่ถือตัวที่จะพานิสิตลงมือทำในแบบ "พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน"
และเท่าที่เห็นๆ จวบจนบัดนี้ ก็ยังเป็นที่รักของเด็ก และรักเด็กอยู่ดี 5555
ในบรรดาจุดเด่นทั้งปวง เขาก็มีจุดเปราะบางอยู่บ้าง เช่น อืดเอื่อย เฉื่อยชา เนิบช้า ประเภทที่ว่าถ้านั่งล้อมวงกินข้าวกับชาวบ้านและชาวค่ายแล้ว เขาจะละเมียดละไมอย่างมาก นั่งก่อนลุกทีหลัง (555) นอนดึกตื่นสาย แต่ใช้ไมค์เรียกแล้วมาในชั่วพริบตา --
หรือแม้แต่ กว่าจะให้เขียนอะไรให้ได้สักอย่าง ต้องใช้เวลามากโขเลยทีเดียว แต่ผมก็พยายามปิดจุดอ่อนนั้นด้วยการให้เขาพูดแทนการเขียน จากนั้นผมก็ "ถอดซ้อนถอดแทนเขา" และเขียนแทนซะเอง 555
แต่ที่แน่ๆ เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่กล้าเล่นละครล้อเลียนประชดประชันผม ---.......อย่างน่าหยิก
ที่ผมร่ายยาวมาขนาดนี้ มิใช่จะยกยอปอปั้นอะไรใครเป็นพิเศษ หากแต่กำลังจะสื่อสารว่าการเชิญ “ศิษย์เก่า” กลับมาเยือนมหาวิทยาลัยฯ สักครั้งหรือสักคน มันไม่ใช่ “ใครก็ได้” แต่มันต้องหมายถึง “การมีตัวตน-มีเรื่องราว” ให้ชวนค่าต่อการคิดตาม หรือร่วมวิพากษ์ เพื่อก่อให้เกิดการยกระดับคน –ยกระดับงาน-ยกระดับองค์กรช่วยกัน
กรณีของ “เจ้าปอง” (สมปอง มูลมณี) ผมไม่ได้เชื้อเชิญมาแต่เฉพาะเวทีที่ว่านี้ ก่อนนั้นในเวทีเสวนาโครงการเทา-งามสัมพันธ์ ครั้งที่ 20 (สองทศวรรษเทา-งามตามรอยพ่อ) เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 ผมก็เชิญมาร่วมพูดคุยเหมือนกัน เชิญมาในฐานะศิษย์เก่าเทา-งาม และอดีตเจ้าหน้าที่ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมนี้
เช่นเดียวกับเวที “วันวิชาการกิจการนิสิต” เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 เชิญมาเหมือนกัน เป็นการเชิญมาในฐานะนักวิชาการอิสระ เพื่อให้ข้อเสนอแนะต่อนิสิต (ผู้นำนิสิต : นักกิจกรรม) ที่นำเสนอผลการดำเนินงานกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือกิจกรรมนิสิต ...
ซึ่งเจ้าตัวก็พูดชัดเจนในหลายประเด็น เช่น
ครับ- นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวของ “ศิษย์เก่านักกิจกรรม” ที่ผมและทีมงาน ไม่ลังเลที่จะเชื้อเชิญกลับมาหนุนเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน
วันนี้เจ้าตัว –สมปอง มูลมณี เดินทางไกลกว่าที่คิด แม้จะตกหลุมดำ หลุมอากาศอยู่บ้าง แต่วันนี้ก็จะได้เรียกเจ้าตัวใหม่อีกครั้งว่า “อาจารย์สมปอง มูลมณี” ---
หมายเหตุ
เขียน : วันที่ 5 ตุลาคม 2560
ภาพ :
ผมในฐานะศิษย์เก่า(ที่ไม่เก่า) และในฐานะคน(ถูก) กล่าวถึง ขอแลกเปลี่ยนง่ายๆตามประสากลุ่มไหลครับว่า เวทีสิษยเก่าสำคัญต่อการพัฒนาไปข้างหน้า อย่างน้อยความผิดพลาดของรุ่นเก่าก็คือข้อพัฒนาของรุ่นใหม่ (เฝ้าระวังปัญหาเก่า ป้องกันปัญหาใหม่) ขอบคุณพี่พนัส และ มมส. ที่สร้างสมปอง ในวันนี้ครับ
สวัสดีครับ อ.เพชรน้ำหนึ่ง
ผมมองในทำนองเดียวกันเลยครับ การกลับมาของศิษย์เก่า คือ "สะพานเชื่อมฝัน" รวมถึงการพัฒนาศิษย์เก่าไปในตัว เป็นการพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาศิษย์ปัจจุบันผ่านครรลองของ "พี่สอนน้อง" นั่นเอง
ใช่ครับ อ.สมปอง มูลมณี
(เฝ้าระวังปัญหาเก่า ป้องกันปัญหาใหม่)
... ดังวาทกรรมที่เคยพร่ำพูดเสมอมาว่า "ปัญหาเก่าห้ามเกิด ปัญหาใหม่ไม่ว่ากัน" 555