อีกมุมมองหนึ่ง ของผู้ร่วมเสวนาเรื่อง การจัดการความรู้กับสังคมไทย ที่ตลาดนัดเครือข่ายการจัดการความรู้ ซึ่งจัดโดยมูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ของ คุณชำนาญ ถนัดธนูศิลป์ จากปูนซิเมนท์ไทย แก่งคอย จังหวัดสระบุรี
ภาพ คุณชำนาญ ถนัดธนูศิลป์
ซึ่งท่านได้เล่าถึงวิธีคิดของเครือซีเมนต์ ที่จะอยู่รอดได้นั้นเราจะต้องทำให้ “บุคลากรเรามีคุณค่า” คือ เป็นคนดี และเป็นเก่ง โดยเราจะต้องสร้างองค์ความรู้ที่มาจากประสบการณ์เดิมแล้วนำมาผนวกกับองค์ความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้การเรียนรู้จึงต้องจัดกระบวนการให้เป็นระบบ ได้แก่ การพัฒนางาน แฟ้มพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ แฟ้มพัฒนาการผลิต และแฟ้มงานอื่น ๆ แต่สิ่งที่เราต้องการได้จากพนักงานก็คือ “ความสุขที่เกิดขึ้นหรือได้รับนั้นเขามีมั้ย?” เราจึงต้องติดตามภายใต้การพัฒนาบุคลากรร่วมกับมูลนิธิข้าวขวัญ
ภาพการจัดเวทีเสวนาของผู้รู้
การมาเรียนรู้ที่มูลนิธิข้าวขวัญนั้นจะเรียนเกี่ยวกับ “การต่อสู้ของชาวนาภายใต้วิถีชีวิตของเขาเอง” ซึ่งทุกชีวิตและทุกวิถีต่างมีปัญหา ฉะนั้น เราจะต้องจัดการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน ส่วนผลที่เกิดขึ้นจากการมาเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียนชาวนาก็คือ การนำแนวทางการเรียนรู้ของโรงเรียนชาวนาไปปรับใช้ ที่เราทำอย่างเป็นระบบ เห็นเป็นรูปธรรม จำนวน 7 เรื่อง เช่น โครงการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และเรื่องอื่น ๆ เพื่อพัฒนางานขององค์กรปูนซีเมนต์ แก่งคอย จังหวัดสระบุรี ที่บุคลากรได้แสดงศักยภาพของตนเอง “พลังในตัวเอง” ออกมาหรือแสดงความเป็นเจ้าของที่เกิดการพัฒนางาน ซึ่งพบว่า “ทำให้เขามีความสุขมีบรรยากาศของความเป็นกันเอง” เกิดขึ้นที่เป็นผลมาจากข้อคิดที่ว่า...
“ชาวนาหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน...คือ บรรพบุรุษของเราที่มีบุญคุณได้ผลิตข้าวให้เรากิน”
ฉะนั้น ปูนซีเมนต์ แก่งคอย จึงเชื่อมั่นว่า...เรามีบุคลากรที่มีคุณค่า ซึ่งทำให้เกิดข้อสรุป “การจัดการความรู้ นำไปใช้แก้ปัญหาในองค์กรได้ โดยบรรยากาศในองค์กรปรับเปลี่ยน...ทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้นในหน่วยงานมากมาย”
เป็นงัยค่ะ...อีกบทเรียนหนึ่งของการสรุปองค์ความรู้จากประสบการณ์ มาเป็นข้อค้นพบเพื่อนำมาใช้แลกเปลี่ยนและเป็นข้อคิดให้ลงมือทำด้วยตนเอง แล้วท่านจะพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ หรือดวงตาเห็นธรรมค่ะ.