มีที่ว่างกว้างใหญ่
ซึ่งโอบล้อมปัจจุบันขณะไว้ภายใน
มีความเงียบอย่างยิ่ง
ที่กำลังรับฟังความคิด
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การทำสมาธิที่แท้
ไม่มีทิศทางหรือเป้าหมาย
มันเป็นการสงบนิ่งเข้าสู่ความเงียบที่ไร้คำพูด
เป็นผู้ภาวนาด้วยความเงียบที่ไร้สิ่งเจือปน
วิธีการใดๆที่มุ่งหมายเพื่อเข้าถึงสภาวะจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นการกระทำที่มีขอบเขตจำกัด
เกิดขึ้นแล้วดับไป
และเต็มไปด้วยการบีบบังคับ
ความหลงใหลอยู่กับสภาวะจิต
นำไปสู่การยึดติดและการไร้อิสระ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การบรรลุธรรมคืออะไร
มันคือการหมดสิ้นซึ่งการยึดติดกับความคิดของเธอ
และในการหมดสิ้นซึ่งการยึดติดกับความคิดของเธอนั้น
สิ่งเดียวที่มีอยู่คือ ความรัก
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อมีคนบอกคุณว่า " ฉันรักคุณ"
เขากำลังพูดถึงตัวเขาเอง ไม่ใช่คุณ
มันไม่ได้หมายความว่าคุณช่างมีค่าเหลือเกิน
เมื่อมีคนบอกคุณว่า " ฉันเกลียดคุณ"
เขากำลังพูดถึงตัวเขาเอง ไม่ใช่คุณ
มันไม่ได้หมายความว่าคุณช่างไร้ค่าเหลือเกิน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อเราเริ่มสนใจปฏิบัติธรรม
ความคิดของเราคือ ฉันต้องการเป็นผู้ตื่น ฉันต้องการบรรลุธรรม
เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
เมื่อได้พบความจริงแท้ สิ่งที่น่าขันก็คือ
ทุกครั้งที่เราเกิดปัญญาตระหนักรู้ในบางเรื่องขึ้นมา
เรารู้สึกเหมือนได้กลับเข้าบ้าน พักไม่มีอะไรต้องตระหนักรู้อีกแล้ว
แต่อีกไม่นาน ก็จะมีการตระหนักรู้ในเรื่องใหม่เกิดขึ้นมาอีก
และเราเริ่มรับรู้ว่า การตระหนักรู้นี้จะไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีการตระหนักรู้ที่เป็นเรื่องสุดท้าย
ความจริงแท้คือสิ่งที่ไม่มีความสิ้นสุด เป็นอนันต์
มันจะไม่เคยหมด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สิ้นสุดลง
สิ่งนั้นคือความไม่รู้ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา
ความไม่รู้ว่าเราคือใคร เราคืออะไร
ความคิดว่าเราเป็นแค่กลไกการทำงานของกายและใจ
อันที่จริงแล้ว เราคือสิ่งที่มีอยู่ตรงนั้นเสมอมา
คือที่ว่าง ที่อยู่ภายในและล้อมรอบกายและใจนั้น
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้เกี่ยวกับการบรรลุธรรม
คือมันไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่จุดสิ้นสุด
ไม่ใช่เหมือนว่าเราวิ่งเข้าถึงเส้นชัยไม่ต้องมีอะไรให้ค้นหาอีกแล้ว
ฉันจะรู้ทุกอย่างความรู้สึกเชิงลบจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
ฉันจะรู้สึกล่องลอยอยู่ในความปิติสุขตลอดเวลาและตลอดไป
ทั้งหมดนั้นล้วนไม่จริง
การบรรลุธรรมคือการได้เห็นด้วยตัวเองว่าธรรมชาติเดิมของเราคืออะไร
มันเป็นการสิ้นสุดของความไม่รู้ว่าเราคือใคร เราคืออะไร
เรารู้ว่าเราคือสิ่งหนึ่งที่มีอยู่เสมอตลอดมา
และการบรรลุธรรมคือการเริ่มต้นของการทำความรู้จัก
และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเดิมอันหาขอบเขตไม่ได้นั้น
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อเธอตระหนักรู้ว่าเธอคือที่ว่างภายในและโดยรอบกลไกของกาย-ใจ
สังเกตว่าเธอจะไม่สามารถบอกได้ว่าที่ว่างนี้เป็นอย่างไร
อย่างมากที่สุดที่เธอรู้ก็คือ "ฉันคือสิ่งนั้น"
แต่เธอก็ไม่รู้ได้ว่า "สิ่งนั้น" คืออะไร
เธอบรรยายไม่ได้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร
เธอเพียงแค่รู้ว่าสิ่งนั้นคือเธอ
เธออาจเรียกมันว่า ความว่าง สติ พระเจ้า จิตวิญญาณ และอื่นๆ
เปรียบได้กับการที่นัยน์ตาจะไม่สามารถมองเห็นตัวมันเอง
บางคนบอกให้ไปดูกระจก
สิ่งที่เห็นจากกระจกก็เป็นแค่เปลือกนอกของนัยน์ตา
ยังมีอีกมากกว่า 99 เปอร์เซนต์ของมันที่ไม่สามารถมองเห็น
ให้ตระหนักว่าเธอคือความว่างที่ยิ่งใหญ่
คือความไม่เป็นอะไรเลยที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อเธอตระหนักว่ากายและใจ
เป็นแค่หุ่นที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติเดิมแท้
หรือเรียกว่าธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่
หรือความเงียบหรือปัญญาที่หยั่งลึกหรือความเมตตา
ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อตัวขึ้นจากธรรมชาติเดิมที่ไร้ตัวตนนี้
เป็นการค้นพบที่มหัศจรรย์สำหรับเรา
ที่ก้นบึ้งแห่งการมีอยู่ของเราคือความดีงาม
ที่แก่นกลางแห่งธรรมชาติเดิมของเราคือบางอย่างที่สวยงาม
ถ้าเราไม่หลงไปในวังวนของเรื่องราวที่ใจสร้างขึ้น
เราก็จะพบสันติสุขและปัญญาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
เป็นปัญญาที่ทำให้เราจำแนกได้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง
ปัญญานี้เรียกว่า ปราชนา หรือปัญญาจากใจ
เป็นปัญญาที่ออกมาจากความว่างไม่ได้ออกมาจากความคิด
ทุกคนมีปราชนาแต่มีคนไม่มากที่ใช้มัน
เพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ฟังเรื่องราวที่สร้างขึ้นจากความคิด
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ปัญญาที่ออกมาจากความเงียบภายใน
เริ่มต้นจากการตระหนักรู้ว่าเราคืออะไร
นี่คือการสิ้นสุดของอัตตาตัวตน
และเป็นการเริ่มต้นของการมีชีวิตอยู่แบบตื่นรู้
ในการตื่นรู้ เธอไม่ต้องทำอะไรเลย
ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ไม่ต้องทำอะไรขึ้นมาใหม่
สิ่งที่เธอต้องทำคือ
หยุดความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง
แค่ผ่อนคลาย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
ไม่ต้องไปที่ไหน ไม่ต้องอยากเป็นอะไร
แล้วตระหนักรู้ธรรมชาติเดิมของเธอ
ผมใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะตระหนักรู้สิ่งนี้
ที่แล้วมาผมมัวแต่วุ่นวายกับการทำสิ่งต่างๆเพื่อบรรลุธรรมในแบบของผม
ผมไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดที่ต้องทำคือ หยุดทำ
เมื่อหยุด ความจริงแท้ก็จะเผยตัวออกมา โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ถ้าเธอคิดว่าการตื่นรู้จะทำให้เธอกลายเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น
นั่นคือความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง
เพราะสิ่งที่เธอจะเป็นคือความไม่เป็นอะไรเลย
การตื่นรู้นั้นไม่ยาก
แต่การมีชีวิตอยู่หลังจากการตื่นรู้นั้นยาก
เพราะเธอต้องกำจัดความรู้สึกผิด,การเพ่งโทษ, และการตัดสินผู้อื่น
สิ่งเหล่านี้คือความยากในการใช้ชีวิตหลังจากการตื่นรู้
เพราะเธอต้องสละออกซี่งความรู้สึกผิด การเพ่งโทษและการตัดสินผู้อื่น
ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวตนของเธอ
ธรรมชาติของความจริงแท้ไม่มีอดีต
ดังนั้นความรู้สึกผิดจึงไม่มี
ความจริงแท้ไม่มีความยึดมั่นว่านั้นผิดนี้ถูก
จึงไม่มีการเพ่งโทษ
ความจริงแท้มีแต่ความรักและความเมตตากรุณาอย่างลึกซึ้ง
จึงไม่มีการตัดสินว่าดีชั่ว
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
หลังจากเธอตื่นรู้ เข้าสู่ธรรมชาติเดิม
ตัวกูที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดของใจจะค่อยๆเผยตัวออกมา ทีละอย่าง
ออกมาสู่แสงสว่างแห่งความว่างของธรรมชาติเดิม
ปล่อยให้มันออกมาเพื่อที่เธอจะได้มองทะลุมัน
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ละครั้งที่เธอปล่อยให้มันผุดขึ้นมา
และมองมันให้ทะลุ
เธอจะรู้สึกได้ถึงความว่างที่ลึกซึ้งมากขึ้น
ความรักและความสุขสงบที่ลึกซึ้งมากขึ้น
มันอาจจะทำให้เธอรู้สึกช็อคอยู่บ้างเมื่อเธอพบเจอกับสภาวะเช่นว่านี้เป็นครั้งแรก
ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้มันเกิดขึ้น
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
มีเพียง 2-3 เปอร์เซนต์ของความคิด
ที่มีประโยชน์จริงๆและไม่ทำให้เกิดทุกข์
ที่เหลือทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นเรื่องราวและความยึดมั่นถือมั่น
เราไม่เคยตั้งคำถามว่าความคิดของเรานั้นจริงหรือเปล่า
เมื่อเราถามความคิดและความยึดมั่นถือมั่นจะสลายไป
นั่นคือคำตอบ
วิธีการนี้เรียกว่าการสืบค้นทางจิตวิญญาณ
ซึ่งจะไม่มีคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
มีแต่เพียงการสลายตัวไปของความคิดและตัวตน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
คือวิธีปฏิบัติในการโดดเดี่ยวอัตตาตัวตน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การทำสมาธิที่แท้ไม่ใช่การฝึกเทคนิคต่างๆ ให้เชี่ยวชาญ
แต่เป็นการฝึกปล่อยวางการควบคุม
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณหลายคน
มุ่งเป้าไปที่ผลคือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่
และปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระในทันใด
พวกเขาจึงเปลี่ยนครูคนแล้วคนเล่า
ช็อปปิงการบรรลุธรรม
หลายคนอาจมีประสบการณ์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น
แต่ส่วนมากแล้วสิ่งนี้ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งของการบรรลุธรรม
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อเธอหลงไปพยายามค้นหาความจริงโดยมองเข้าไปที่ใจ
มันจะหลอกให้เธอค้นหาเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
วิธีที่ดีที่สุดคือมองและเห็นด้วยตัวเองว่า
ในใจนั้นไม่มีอะไรเลยที่เป็นจริงหรือมีอยู่จริง
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
จงโอบกอดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เปิดใจของเธอต่อสิ่งที่เธอยังไม่รู้
และไม่มองย้อนกลับ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ในแง่หนึ่ง
ชีวิตที่ตื่นรู้เป็นชีวิตที่ไร้ความมั่นคงอย่างยิ่ง
เพราะเราดำรงอยู่และทำสิ่งต่างๆจากความไม่รู้
เรามักจะทำสิ่งต่างๆจากความมั่นคงที่บิดเบี้ยว
ซึ่งใจของเราสร้างขึ้น
แต่ความเป็นอิสระไม่ได้เป็นอย่างนั้น
มันเป็นภาพที่แย้งกัน
เพราะเราไม่รู้และเรารู้ว่าเราไม่รู้
แต่ละขณะ ประตูจึงเปิดกว้างต่อการรู้
นั่นคือขณะที่การรู้ของเราเกิดขึ้น...ในปัจจุบันขณะ
เมื่อเธอพักอยู่ในการไม่รู้
การรู้จึงจะเกิดขึ้นได้
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ใจ มักต้องการยึดเกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้เสมอ
ทางเดียวที่เธอจะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง
คือการปล่อยความยึดติดทั้งหมด
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาจิตวิญญาณ
และเป็นสิ่งยากที่สุดอันหนึ่งสำหรับนักปฏิบัติ
โดยเฉพาะนักปฏิบัติที่เคยได้สภาวะที่ดีมากๆ
ที่จะต้องปล่อยวางประสบการณ์ทั้งหมด
การยึดมั่นถือมั่นทั้งหมด
แม้ในสภาวะที่ดีอย่างยิ่ง เข้าถึงอย่างยิ่ง
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างยิ่ง
สังเกตให้ดี จะพบความคิดที่ว่า " นี่คือเรา"
ทุกครั้งที่มีการบอกตัวเองว่า"นี่คือเรา"
เธอกำลังสร้างความยึดติดต่อสิ่งที่ได้สัมผัส
ต่อความคิด ต่ออารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเธอผ่านความรู้สึกนี้หลายๆครั้ง
จะเกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกมากที่สุด
และปล่อยวางโดยสิ้นเชิง
เมื่อใจปล่อยวาง
เธอจะรู้เสมอว่าเธอคือใคร เธอคืออะไร
แม้ว่าเธอจะไม่สามารถบรรยายลักษณะของมันได้
หรือแม้แต่คิดเกี่ยวกับมันก็ทำไม่ได้
เธอแค่รู้โดยการเป็นสิ่งนั้น
นี่คือการปล่อยวางตัวตน และความรู้สึกว่ามีเรามีเขาในระดับสูงสุด
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อใจหยุดสร้างเรื่องราวทั้งหมด
ความจริงแท้จะเผยตัวออกมา
สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
เป็นจริงอย่างยิ่ง
จนกระทั่งโลกทั้งหมดกลายเป็นเสมือนความฝัน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ไม่มีความเห็น