ชีวิตที่พอเพียง : 2950a. ความหมายของไม้ยืนต้น : (๖) ป่าจุลชีพ
บันทึกชุด ความหมายของไม้ยืนต้น ตีความจากหนังสือ The Hidden Life of Trees ตีความได้ว่า ป่าไม้ยืนต้น และป่าจุลชีพ ทั้งเกื้อกูลและทำลายกัน
ผู้เขียน (Wohlleben) เล่าเรื่องพลังของจุลชีพที่เกื้อกูลป่าตั้งแต่ย่อหน้าแรกของบทที่ ๑ เลยทีเดียว และผมได้ตีความเล่าใน บันทึกตอนที่ ๒ แล้ว
เท่ากับป่านั้น มีทั้งส่วนที่เรามองเห็น และส่วนที่เรามองไม่เห็น หนังสือ The Hidden Life of Trees ช่วยไขความลี้ลับบางส่วนให้เราได้เข้าใจ ผู้เขียนบอกว่า ความตั้งใจของการเขียนหนังสือเล่มนี้ก็เพื่อ ช่วยให้ผู้อ่าน ได้มีมุมมองต่อป่าในมิติใหม่ๆ ในการสัมผัสป่าครั้งต่อไป โดยป่าในที่นี้หมายถึงป่าธรรมชาตินะครับ ไม่ใช่ป่าปลูก
ตกลงป่าที่แท้จริงนั้น เป็นป่าสองชั้น คือป่าตามองเห็นหรือป่าไม้ กับป่าตามองไม่เห็น คือป่าจุลชีพ
ที่จริงป่าซับซ้อนกว่านั้น ดังจะกล่าวในตอนต่อๆ ไป ในตอนนี้จะเน้นที่ป่าที่ตามองไม่เห็นก่อน
เรื่องราวของป่าจุลชีพกล่าวไว้อย่างเด่นชัดในบทที่ ๙ (United We Stand, Divided We Fall) และบทที่ ๒๑ (Mother Ships of Biodiversity)
ป่าจุลชีพกับป่าไม้อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ขาดกันไม่ได้ ที่น่าสนใจคือทรากของต้นไม้ที่ตายและล้มแล้ว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ ระบบนิเวศน์แห่งป่า การชักลากไม้ที่ล้มออกจากป่า จึงเป็นการทำร้ายป่า โดยไม้ใหญ่ที่ตายและล้มจะทำหน้าที่เป็นแหล่งอาหารของป่า ในลักษณะของการรีไซเคิ้ล โดยมีแมลงและ จุลินทรีย์เป็นพนักงานรีไซเคิ้ล ต้นไม้ใหญ่ที่ตายนี้จะทำคุณประโยชน์แก่ป่าต่อไปอีกเป็นศตวรรษ จนสลายกลายเป็นฮิวมัสทั้งหมด หรือในบางกรณีกลายเป็นถ่านหิน แต่ถ่านหินและน้ำมันที่ขุดขึ้นมาใช้นั้น เป็นผลผลิตของต้นไม้เมื่อร้อยล้านปีก่อน
เขาบอกว่า หนึ่งในห้าของสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก (เท่ากับหกพันชนิด) อาศัยอาหารจากทรากต้นไม้ การชักลากไม้ล้มเหล่านี้จึงเท่ากับแย่งอาหารของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก นอกจากนั้นยังจะทำร้ายต้นไม้ในป่านั้น ทางอ้อม คือเมื่อจุลินทรีย์บางชนิดไม่มีต้นไม้ตายแล้วสำหรับเป็นอาหาร จึงเข้าเล่นงานต้นที่ยังมีชีวิต
ที่จริงต้นไม้มีชีวิตอยู่โดยมีศัตรูรอบด้าน เหมือนกับชีวิตคน สัตว์ป่า นก แมลง และจุลชีพ มีทั้งบทบาทเกื้อกูล และทำลายต้นไม้ เหมือนกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ทั้งเกื้อกูลและทำลายมนุษย์ และมนุษย์ก็ทั้งเกื้อกูลและทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน
ต้นไม้จึงต้องแข็งแรง จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ มิฉนั้นก็จะมีจุดอ่อนให้จุลชีพโจมตี จุลชีพเหล่านี้ ทั้งแข่งขันและร่วมมือกันในการเข้าโจมตีต้นไม้ เพื่อใช้เป็นอาหารของตน ต้นไม้จึงต้องปล่อยสารพิษออกมา ป้องกันตัว เรียกรวมๆ ว่า phytoncides (หน้า ๑๕๖) แต่ก็เห็นบ่อยที่ต้นไม้ใหญ่โดนจุลินทรีย์โจมตีกินเนื้อไม้ จนกลายเป็นโพรงมหึมา รถยนต์แล่นผ่านได้ แต่ต้นไม้ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
จุลินทรีย์ที่ใกล้ชิดไม้ยืนต้นที่สุดน่าจะได้แก่เชื้อรา โดยเชื้อราจะงอกเข้าไปในขนของปลายราก เพื่อทำงานเป็นหุ้นส่วนกัน เส้นใยของเชื้อราจะงอกไปทั่ว และไปเชื่อมกับรากของไม้ต้นอื่น กลายเป็น ตัวเชื่อมระหว่างต้นไม้ต่างต้น เป็นทั้งท่อแลกเปลี่ยนสารอาหารระหว่างต้นไม้ และเป็นท่อส่งข่าวสารแก่กัน เช่นข่าวว่าโดนแมลงรังแก
เขาจึงเปรียบเชื้อราว่าเป็นเสมือน อินเทอร์เน็ตแห่งป่า ให้บริการด้านการสื่อสารแก่ต้นไม้ รวมทั้ง เอื้อให้ต้นไม้ดูดน้ำและสารอาหารได้มากขึ้น แต่เชื้อราไม่เหมือนอินเทอร์เน็ตตรงที่อินเทอร์เน็ตมันไม่บงการเรา แต่เชื้อราบงการต้นไม้ โดยสร้างฮอร์โมนของพืช ออกมาสื่อสารกับต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้ทำตามที่เชื้อราต้องการ และได้กล่าวแล้วว่า ค่าบริการของเชื้อราค่อนข้างแพง คืออาจสูงถึงหนึ่งในสามของน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรท ที่ต้นไม้ผลิตได้
แต่บริการของเชื้อราที่ให้แก่ต้นไม้ยังมีอีกหลายอย่าง ได้แก่บริการกรองสารพิษ ไม่ให้ไปถึงต้นไม้ เขายกตัวอย่างเห็ดที่ขึ้นในพื้นดินที่มีพิษ เช่นกัมมันตรังสี ในเห็ดจะมีกัมมันตรังสีสูงกว่าในดินมาก นอกจากนั้นเชื้อรายังให้บริการดูแลสุขภาพให้แก่ต้นไม้ โดยการป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้ามาทำอันตราย
ข้อความในหน้า ๕๔ บอกว่าเชื้อราเก่งกว่าที่เราคิด ดังกรณีเชื้อราชื่อ Laccaria bicolor เป็นหุ้นส่วนกับต้นสน ในยามที่ดินขาดไนโตรเจน เชื้อราจะดำเนินการสร้างไนโตรเจนให้แก่ต้นสน โดยปล่อยสารพิษออกมาทำให้สัตว์ในดินตายและปล่อยไนโตรเจนออกมาเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นสน และแก่เชื้อราเอง
เชื้อราบางชนิดเป็นหุ้นส่วนกับต้นไม้ชนิดเดียว แต่เชื้อราบางชนิดก็เป็นหุ้นส่วนกับต้นไม้ได้หลายชนิด และอาจเป็นตัวเชื่อมระหว่างต้นไม้ต่างชนิดในโลกใต้ดิน
เชื้อราอาจมีชีวิตเป็นหุ้นส่วนกับต้นไม้เป็นร้อยปี และยามที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อเชื้อราก็ตาย ต้นไม้จะหาหุ้นส่วนใหม่ทันที
ป่าจุลชีพยังมีความลี้ลับอีกมากมาย
ขอขอบคุณ รศ. ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ ที่กรุณาส่งหนังสือเล่มนี้มาให้
วิจารณ์ พานิช
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
ไม่มีความเห็น