วันนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๖๐) เป็นวันแห่งความสุขอีกวันหนึ่งสำหรับผม มีการประชุมกันเป็นครั้งที่ ๒ ของคณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในมหาวิทาลัยมหาสารคาม (คณะกรรมการดาวน์โหลดคำสั่งได้จากที่นี่) ครั้งแรกเราประชุมกันเพื่อระดมสมองกันว่า เราจะขับเคลื่อน ปศพพ. ในมหาวิทยาลัยอย่างไร? ประชุมครั้งนี้เราเอาแผนที่ร่างขึ้นมาพิจารณากัน บันทึกต่อไปจะเอาแผนมากางไว้เป็นหลักฐาน และเพื่อเป็นการประจานตนเองด้วยหากทำไม้ได้ตามแผน
ผมเสนอที่ประชุมว่า ในปัจจุบันความรู้ควมเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนิสิต บุคลากร หรือประชาชนบุคคลทั่วไปแตกต่างกันไปตามลักษณะของการับรู้หรือการน้อมนำไปใช้ในแต่ละวาระและโอกาสของแต่ละคนทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของแต่ละกลุ่ม ดังจะแยกเป็น ๕ ประเด็น ได้แก่
๑)
เข้าใจว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของการเกษตรเท่านั้น
เมื่อมีผู้ถามถึงความหมายของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
จะบอกว่าเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามหลักการ
“เกษตรทฤษฎีใหม่” และเน้นเป้าหมายคือ การพออยู่พอกิน
ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยมักเข้าใจในลักษณะนี้
เนื่องจากการถ่ายทอดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของภาคเอกชน ผ่านสื่อโทรทัศน์ที่ผ่านมาในช่วง
๒๐ ปีนั้น เน้นไปทางด้านนี้เกือบทั้งหมด
๒)
เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางด้านวัตถุหรือเศรษฐกิจเท่านั้น
เมื่อมีผู้ถามถึงความหมายของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะบอกว่า
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายอย่างประหยัด มัธยัสถ์ การออม และการแบ่งปันทรัพย์สิน
เน้นไปทางด้านการใช้วัสดุที่ท้องถิ่นที่มีอยู่ การพอเพียงในทรัพย์สินที่มีอยู่
คือเรียกว่า เข้าใจในระดับวัตถุ
๓)
เข้าใจว่าเป็นเรื่องความศรัทธาต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
รัชกาลที่ ๙ ยกย่องในหลวงเป็นพ่อของแผ่นดิน ให้ความเคารพบูชาในคุณความดีและความเสียสละของพระองค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้
คนไทยทุกคนจึงควรศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติในฐานะที่เป็นลูกของพ่อ
ความจงรักภักดีและศรัทธาอันสูงยิ่งนี้ ทำให้คนไทยอยู่รอดมาตราบจนปัจจุบัน ดังนั้น
ความเข้าใจแบบนี้เป็นเรื่องที่ดียิ่ง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยเห็นความสำคัญ
เริ่มศึกษาน้อมนำมาพัฒนาตนเอง จนเห็นผลประจักษ์เข้าใจแก่นแท้ด้วยตนเอง
ทำให้ยิ่งทวีความรักในพระองค์ท่านมากขึ้น
๔)
เข้าใจว่าเป็นเรื่องทฤษฎี ๓ ห่วง ๒
เงื่อนไข ๔ มิติ คือ ห่วงพอประมาณ
ห่วงเหตุผล ห่วงภูมิคุ้มกัน เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม มิติวัตถุ
/เศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และมิติวัฒนธรรม คือเข้าใจตามทฤษฎีที่เผยแพร่จากรัฐบาลที่หวังจะใหประชาชนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
จึงตีความรูปแบบดังกล่าวขึ้น ปัญหาที่พบมากสำหรับผู้ที่เข้าใจในลักษณะนี้คือ
จำได้แต่มักไม่เข้าใจถึงควมเชื่อมโยงและวิธีการน้อมนำไปใช้จริง ๆ
หลายคนรู้สึกว่าเป็นทฤษฎีที่ยุ่งยาก ไม่สามารถปฏิบัติได้ทั้งหมด จึงรู้สึกว่าตนเอง
“ไม่พอเพียง” และสุดท้ายคือท้อแท้ไป
ไม่ศึกษาและน้อมนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตของตนเอง
๕)
เข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นทั้งหลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
โดยยึดเงื่อนไข ๒ ประการคือ เงื่อนไขคุณธรรม และเงื่อนไขคุณธรรม
จะทำอะไรต้องไม่ผิดหลักคุณธรรมจริยธรรม สืบค้นและนำความรู้วิชาการมาใช้เสมอ ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง
คิดพิจารณาอย่างครบถ้วนทั้ง ๓ ห่วง ว่า พอประมาณหรือไม่ มีเหตุผลมีหรือไม่ มีภูมิคุ้มกันที่ดีหรือไม่
ระหว่างกระทำและหลังกระทำ ระลึกและกำกับให้อยู่ในเงื่อนไข ๒ และพิจารณาครอบคลุม ๔
มิติ ทั้งวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายให้เกิดความสมดุล
มั่นคง และยั่งยืน
และเสนอเป้าหมายของการส่งเสริมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
คือ ทำให้นิสิต บุคลากร และประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ
มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวในข้อ ๕)
ซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จได้จริงก็ต่อเมื่อมีกิจกรรม โครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาส
เอื้ออำนวยให้นิสิต บุคลากร และประชาชนทั่วไป
ได้น้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ด้วยตนเองเท่านั้น
คุณวินัย ตาเมือง ที่ปรึกษาชมรมตามรอยเท้าพ่อ กำลังขับเคลื่อนสำคัญ
ศราวุธ ประธานชมรมกู้ภัยราชพฤกษ์ มมส.
ดูรูปทั้งหมดที่นี่