หลายวันก่อนผมคิดถึงกรณีขายบุญจากมุมมองของสังคม สิ่งที่ผมคิดคือ ทำไม? บุญตัวเดียวกันแต่มีราคาต่างกัน เช่น เราจะสร้างพระพุทธรูปองค์เดียวกัน นาย ก. อาจซื้อพระพุทธรูปองค์นี้ด้วยราคา ๑๐๐ บาท ขณะที่นาย ข. อาจซื้อพระพุทธรูปองค์เดียวกันด้วยราคา ๑ ล้านบาท
เมื่อวาน ขณะนั่งฟังนักศึกษารายงานผลการศึกษาข้อมูล "ประเด็นทางสังคมจากมุมมองทางจริยศาสตร์" ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวากับข้อมูลที่เด็กเหล่านี้นำเสนอ มีทั้งข้อมูลเชิงเนื้อหา และการวิเคราะห์ด้วยทักษะ รับรู้ถึงความเป็นตัวของตัวเองในการพิจารณาข้อมูล นึกย้อนหลังไปถึงตนเองในสมัยเรียนหนังสือวัยเดียวกัน "เราช่างด้อยอย่างกับฝุ่นและแผ่นฟ้า" นึกไปว่า เด็กเหล่านี้ที่น่าจะคือแบบอย่างของอนาคต
มีประเด็นหนึ่งที่นักศึกษากล่าวถึง คือประเด็น "การบริจาคมากได้บุญมาก" (จากกลุ่มศึกษากรณีธรรมกายที่เกิดขึ้นในเวลานี้) ระหว่างนั่งฟัง ผมคิดไปตามสิ่งที่นักศึกษารายงาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นว่า "มีความเป็นไปได้หรือไม่กับการบริจาคมากแล้วได้บุญมาก" และคิดไปถึงว่า "๑,๐๐๐,๐๐๐ = ๑๐๐" ผมได้บันทึกบางอย่างลงในหน้ากระดาษ (การบันทึกนี้ยังไม่มีการคัดกรองความคิด โปรดใช้วิจารณญาณ)
เหตุผลของ ๑๐๐ มีค่า เท่ากับ ๑,๐๐๐,๐๐๐
ทั้งหมดเป็นบันทึกความคิดระหว่างใคร่ครวญความเป็นไปได้กับ ๑๐๐ มีค่าเท่ากับ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เงื่อนไขที่เป็นไปได้คือ การให้ค่าต่อสิ่งนั้น สิ่งที่น่าคิดต่อมาคือ "ทำไม? การบริจาคมากจึงมีบุญมาก" ถ้าบุญหมายถึงความอิ่มใจ (ไม่ใช่ความยากลำบาก) ผมมีรายได้วันละ ๑๐๐ บาท ขณะที่เพื่อนของผมมีรายได้วันละ ๑ แสนบาท แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวในเวลานี้ผมมีเงินแค่ ๑๐๐ บาท ขณะที่เพื่อนก็เหลือเงินแค่ ๑ แสนบาท ผมบริจาคเงินให้กับองค์กรทางศาสนาหมดตัว เพื่อนบริจาคให้องค์กรศาสนาหมดตัวเหมือนกัน สิ่งที่เรามองเห็นคือ ผมและเพื่อนบริจาคไม่เท่ากัน โดยที่ผมบริจาคน้อยกว่าเพื่อนหลายเท่าตัว สิ่งที่น่าพิจารณาคือ เป็นไปได้ที่เราบริจาคไม่เท่ากันแต่สภาวะทางจิตใจอาจเท่าและเข้ากันได้ คือ (๑) มีความรู้สึกสุขที่ได้ร่วมบริจาคอย่างเต็มกำลังกับองค์กรที่เข้าใจว่าเป็นเส้นทางไปสู่ประโยชน์และความสุขโดยรวม (๒) เราสองคนได้สละความรู้สึก "ไม่อยากให้" ออกไปเหมือนกัน นี่อาจเป็นคำตอบสำหรับบุญตัวเดียวกันแต่มีราคาต่างกัน และความเป็นไปได้กับ ๑๐๐ เท่ากับ ๑ ล้าน
การบริจาคจนหมดตัวในคัมภีร์อาจพิจารณาดูจากกรณี "เศรษฐีชื่ออนาถปิณฑิก" ในมุมมองทางสังคมถือว่าเป็นความเขลากับการบริจาคไม่เหลือสำหรับการดำรงชีวิตในโลกที่ต้องใช้เงินเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนปัจจัยการดำรงชีวิต บางสำนักทางศาสนาจึงนำประเด็นนี้ไปสอนต่อผู้มีจิตอ่อนโยนและกำลังดื่มด่ำกับเนื้อหา จิตที่โดนกล่อมเกลาด้วยข้อความบางอย่างก็หลงไปตามข้อความนั้น เมื่อตื่นจากฝันจึงเดือดร้อนในภายหลัง เพราะไม่มีเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนปัจจัยการดำรงชีวิต ในพุทธกาลเราอาจหาผลไม้ประทังชีวิตได้ แต่ปัจจุบันผลไม้มีราคา ดังนั้นจึงอาจต้องใช้วิจารณญาณในการบริจาคต่อองค์กรศาสนา อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีเงินจำนวน ๑ ล้านบาท ซึ่งหมายถึงอนาคตทั้งหมดของชีวิตเราทางสังคม แล้วมีศรัทธาแรงกล้า บริจาคเงินทั้งหมดนี้ให้องค์กรศาสนาด้วยความปลื้มใจ แล้่วสละตัวเองจากเพศชาวบ้านเข้าสู่เพศนักบวช ใช้ชีวิตบำเพ็ญตนเฉกเช่นฤาษีชีไพร อาศัยก้อนข้าวจากชาวบ้านที่ยังไม่อาจสละบ้านเรือนของตนได้ การบริจาคเงินทั้งหมดนั้นอาจมีความหมายบางอย่างในมิติทางศาสนา ซึ่งเป็นไปได้กับการบริจาคมากแล้วได้มาก (๑) ได้สละสิ่งที่มีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม (๒) ได้สละความ "ไม่อยากให้" ออกไปจนหมด
หมายเหตุ ที่กล่าวมานี้โปรดใช้วิจารณญาณให้ถี่ถ้วน
แสดงความคิดเห็นไม่ถูกเลย
เป็นนิกายที่แปลกมากๆ