คืนที่ผ่านมา (วันที่ 27 ตุลาคม 2559) ผมตื่นมาในราวๆ ตีสามเศษ ทำยังไงก็นอนไม่หลับ เพราะนอนมาเต็มที่แล้วนั่นเอง
เป็นธรรมเนียมส่วนตัวเมื่อตื่นมาเช่นนี้ผมต้องหาอะไรทำ และส่วนใหญ่ก็หลีกไม่พ้นการอ่านหนังสือ ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นไปตามนั้น
ครั้งนี้ผมตัดสินใจหยิบหนังสือรวมเรื่องสั้นเรื่อง “หุ่นไล่กา” ของ รศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ หรือที่รู้จักแพร่หลายในแวดวงน้ำหมึกว่า “ไพฑูรย์ ธัญญา” มาอ่าน
ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักและเชื่อศรัทธาในหลายเรื่อง รวมถึงการเป็นแรงบันดาลใจต่อผมในหลายๆ เรื่องด้วยเช่นกัน ทั้งในมิติความเป็นครู เป็นผู้บังคับบัญชา และอื่นๆ ที่เกินกล่าวอ้าง
หุ่นไล่กา
หุ่นไล่กา เป็นรวมเรื่องสั้นที่จัดพิมพ์โดย “นาครสำนักพิมพ์”
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อสิงหาคม 2557 ล่าสุดคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวทีเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่13 ประจำปี 2559 ซึ่งปีนี้ไม่มีรางวัลชนะเลิศ
ในคำนำท่านยืนยันว่ายาวนานเป็นสิบปีแล้วที่ยังไม่รวมเรื่องสั้นออกมาเป็นเล่ม กระนั้นผมก็ติดตามอ่านหลายต่อหลายเรื่องผ่านวารสาร และนิตยสารมาเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ดี ที่สุดของที่สุด ผมก็ชอบอ่านแบบเป็นรูปเป็นเล่มเสียมากกว่า จึงไม่แปลกประหลาดเลยที่ผมจะยังคงซื้อมาเก็บประดับไว้ในตู้หนังสือ เมื่อถึงวาระอันเหมาะเจาะจึงหยิบจับมาอ่าน
เอาตามตรงเลยนะ นานหลายปีเลยที่ผมไม่อ่านเรื่องสั้นเป็นเล่มๆ เพราะผมตามไม่ทัน อ่านแล้วปวดหัวที่จะถอดรหัส และอ่านแล้วบางทีก็หากลิ่นอาย "ไทย" ที่ชอบและที่อยากจะเจอ แต่ก็ไม่เจอ จนยอมที่จะตกหล่นและตกข่าวไปจากแวดวงเรื่องสั้นเลยก็ว่าได้
กลับมาอ่าน
กลับมาอ่านงานรวมเล่มของอาจารย์ฯ ครั้งนี้ ผมเห็นหลายสิ่งอย่างที่คุ้นเคย ทั้งภาษาที่กระชับสละสลวย เป็นภาษาเชิงกวี มีความเปรียบคมคาย รวมถึงการวิพากษ์สังคมที่ยังข้นเข้มเหมือนเก่าก่อน และการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง ชวนคิดชวนติดตาม และไม่คุกคามโน้มนำผู้อ่านให้คล้อยเคลิ้มจนเกินงาม รวมถึงการนำเสนอเรื่องราวสังคมชนบทท่ามยุคสมัยปัจจุบันและความเป็นคนชายขอบอย่างน่าสนใจเหมือนที่เราคุ้นเคยและประทับใจเสมอมา
หากแต่คราวนี้ผมยังเห็นอารมณ์ใหม่ของอาจารย์ฯ มากขึ้น โดยเฉพาะ “อารมณ์ขัน” ที่เด่นหราอยู่ในหลายๆ เรื่อง เห็นสำนวนใหม่ๆ ที่ล้ออยู่กับปัจจุบัน เห็นสำนวนจ๊าบๆ จี๊ดๆ ตลอดจนวาทกรรมหยิกหยอกที่เหน็บเจ็บอย่างเนียนหนัก เห็นต้นทุนจากสายวิชาชีพของท่านที่ได้ฝังตัวผูกโยงมาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องสั้นอย่างน่ารักน่าสนใจ
และที่สำคัญคือเห็นกลิ่นอายความเป็น “อีสาน” เจือปนอยู่ในหลายๆ เรื่องอย่างน่าเอ็นดู ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้เกิดที่อีสาน แต่ก็ใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินอีสานมายาวนานจนแทบจะเรียกว่า “เบิ่งอีสานซัด (ชัด) เบิ่งอีสานซอดกว่าคนอีสาน” (บางคน) แล้วเสียอีก
แถมยังมีเรื่องชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะ “อบต.” เข้ามาเกี่ยวโยง จึงยิ่งต้องย้ำว่าเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องในเล่มนี้ได้ทำหน้าที่ตอบโจทย์ความเป็นชะตาชีวิตของผู้คนในสังคมรากหญ้าอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นจริง !
นั่นคืออำนาจวรรณกรรม อำนาจที่เราและเรายังหลงรัก ----
ผมชอบเรื่องนี้ (ทางผีเดิน)
ผมชอบเรื่องนี้นะครับ เรื่อง “ทางผีเดิน”
ไม่รู้สิครับ ชอบก็คือชอบ อ่านแล้วเห็นปรากฏการณ์สังคมปัจจุบันอย่างชัดเจน การเปลี่ยนผ่านของผู้คนในหมู่บ้านบนฐานของสังคมเก่าและสังคมใหม่ วิถีอันเป็นโลกใบเล็กของครอบครัวกับโลกในวิถีเด็กหนุ่มเด็กสาวในหมู่บ้านที่ซ้อนทับกันอยู่ หรือกระทั่งโลกแห่งความเชื่อเดิมกับวิถีใหม่อันเป็นทุนนิยมที่อ่านแล้วเห็นภาพแจ่มชัดและปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่จริง เกิดขึ้นจริง และเป็นโศกนาฏกรรมที่ปฏิเสธไม่ได้
...ทุกอย่างเป็นของเพิ่น เฮาต้องเซ่นไหว้ขอเพิ่นก่อน ถ้าเฮาปฏิบัติกับเพิ่นดีๆ เพิ่นก็จะดีกับเฮา...
เรื่องนี้ในตอนท้ายจบลงด้วยโศกนาฏกรรม ถนนอันเป็นทางผีเดินในรูปลักษณ์ของถนนใหม่ที่เด็กแว้นใช้สัญจรและประลองบารมีก็พรากทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวในหมู่บ้านไปอย่างน่าเจ็บปวดใจ
จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้บอกชัดว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวในหมู่บ้านไม่จำเป็นต้องพลัดหลงไปเสียผู้เสียคนในเมืองเหมือนอดีต แต่ทุกวันนี้ใครๆ หรือกระทั่งลูกหลานเราก็เสียผู้เสียคนในหมู่บ้านแล้วก็มาก นี่คือผลพวงและพลวัตการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่วัดความเจริญกันด้วยท้องถนน
หรือกระทั่งสาเหตุของการเสียผู้เสียคน และผิดผีก็เถอะ บัดนี้ไม่ใช่ความรักความลุ่มหลงต่อความรักอย่างเดียวดังอดีต หากแต่มีเรื่องอบายมุขมาเกี่ยวโยงด้วย
อีกเรื่องที่ผมชอบ (บักหัวแดง)
“บักหัวแดง” เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบ อ่านแล้วนึกถึงภาพเมื่อครั้งนั่งเรียนกับอาจารย์ฯ ในชั้นเรียนเมื่อหลายสิบปีก่อน การบรรยายในชั้นเรียนเป็นยังไง ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็สื่อสารออกมาราวกับบันทึกเทปเสียงแล้วมาเปิดให้ฟังซ้ำใหม่ และเมื่ออ่านหรือฟังแล้วก็เชื่อมโยงมาถึงความเป็นปัจจุบันของวันนี้อย่างไม่ตกยุค
ผมชอบคำบางคำที่นำมากล่าวซ้ำในความหมายเดียวกัน เช่น “โรยระบิดใส่พวกเวียดนาม” จากนั้นก็ใช้ตำว่า “ระเบิด” อีกครั้งในวาระถัดว่า คือ “ผู้สาวส่ำน้อยทิ้งทุ่งนาออกมาเป็นเมียเช่าให้ทหารฝรั่งนิโกรระเบิดบอมบ์อยู่ครึกครื้น” อ่านแล้วผมมีอารมณ์ขันและเจ็บข้นอยู่ไม่ใช่ย่อย
และทุกวันนี้ในพื้นที่ที่ถูกกล่าวอ้างถึงก็มี “บักหัวแดง” ในแบบลูกครึ่งก็เดินกรีดกรายทะลักล้นอยู่มาก ทั้งที่เกิดอยู่ที่นั่นและบินลัดฟ้ามาก็มาก
ส่วนตัวผมนะ - นี่คือเรื่องเล่าที่ว่าด้วย “เขยฝรั่ง” และ “เมียฝรั่ง” ที่อ่านแล้วก็ร่วมสมัยอยู่วันยังค่ำ เขียนได้คลาสิกไม่ตกยุคตกสมัย ยังดีนะครับในเรื่องนี้พูดถึง "บักหัวแดง" ที่กรีดกรายล้มลุกคลุกฝุ่นหมู่ในหมู่บ้าน โดยมิได้กล่าวถึงอีกมากมายที่กรีดกรายอยู่ในจอหนังจอแก้ว ฯลฯ
ครับ- อ่านจบ รู้สึกมีแรงจูงใจที่จะตามอ่านเรื่องราวประเด็นนี้เพิ่มเติมในนิตยสารหลายเล่มที่ผมเก็บไว้ในตู้หนังสือของตนเอง หรือกระทั่งการเบิ่งมองไปท้ายหมู่บ้านของตนเอง ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง แถมยังมีชะตากรรมใกล้เคียงกันกับตัวละครในเรื่อง
นี่ก็อีกเรื่องที่ชอบ (หุ่นไล่กาอาระกัน)
หุ่นไล่กาอาระกัน คืออีกหนึ่งเรื่องสั้นที่ผมชื่นชอบ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “โรฮิงญา” กลุ่มคนชายขอบจากพม่าที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นในเมืองไทย ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้กลายเป็นกระแสหลักที่ปรากฏอยู่ในสื่อของเมืองไทย หรือกระทั่งโด่งดังไกลไปในหลายๆ ประเทศ ยังผลให้เมืองไทยอันเป็นที่รักของเราๆ ท่านๆ ตกต้องชะตากรรมถูกวิพากษ์กับเรื่องนี้อย่างหน่วงหนัก
หรือกระทั่งตอนท้ายเรื่องที่เจ้าคนแปลกถิ่นแอบไปหลบซ่อนโดยแทรกเป็นส่วนหนึ่งในหุ่นไล่กาเพื่อให้รอดพ้นจากการไล่ล่าจับกุม ผมอ่านแล้วสะเทือนลึกในหัวใจตัวเองแบบกึ่งขบขัน หม่นเศร้าและอาทรคลุกเคล้าระคนกันไป เพราะราวกับกำลังถูกกดทับด้วยความจริงความเท็จ-ความลวง หรือารมณ์ผิดถูกบนฐานของศีลธรรมและกฏหมายที่อธิบายถึงความเป็นคน ความเป็นมนุษยชาติ
ใช่ครับ-หนังสือเล่มนี้มีเรื่องสั้นทั้งหมด 9 เรื่อง ขอยืนยันว่าไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องราวจากอีสานหรอกนะครับ เรื่องจากปักษ์ใต้บ้านเกิดของอาจารย์ฯ ก็มี ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง "ที่นี่...ปัตตานี" ที่หยอกล้อกับผู้นำระดับประเทศได้อย่างเจ็บจี๊ด -
จะว่าไปแล้วยังมีอีกสองเรื่องที่ผมชื่นชอบ นั่นก็คือ มหานครล่มสลาย เรื่องนี้สะท้อนต้นสายปลายเหตุแห่งการล่มสลายของบ้านเมืองเพียงเพราะการโกงกินของผู้คนฯ ยิ่งอ่านผมยิ่งคิดถึงวรรณคดีในดวงใจ “ไตรภูมิพระร่วง” โลกแห่งอุมคติอันแสนสุขในวถีอันดีงามของมนุษย์ หรือกระทั่งตำนานและนิทานมุขปาฐะที่ว่าด้วย "เมืองบังบด" จนอดที่จะคิดทบทวนถึงการไปเยือน "เมืองลับแล" เมืองแห่งความสัตย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาทางเหนือของไทยที่ผมเพิ่งไปเยือนมาเมื่อไม่นาน
รวมถึงเรื่อง “บางใครในบางเรา” ที่อ่านแล้วราวกับไปนั่งอยู่ในเวทีการชุมนุมของนักคิด นักเขียน นักปฏิวัติ นักแสดงจากทั่วทั้งมุมโลก ซึ่งทำให้ได้หวนคิดกลับไปยังแก่นสารทฤษฎีจากสำนักต่างๆ ที่ยัง “ไม่ตาย”
หรือกระทั่งอดจิตนาการถึงชีวิตของอาจารย์ฯ ในช่วงฝังตัวทำงานวิชาการอยู่ต่างประเทศไม่ได้ เพราะคงทำงานหนักกับตำรับตำราและการท่องโลกใบใหม่อย่างท้าทาย ซึ่งบางทีเรื่องสั้นที่ว่าอาจเป็นมุมหนึ่ง หรือกลวิธีหนึ่งที่อาจารย์ฯ นำมาเยียวยาเสริมพลังให้กับตัวท่านเองฯ (เอาล่ะอย่างน้อยก็ได้รู้แหละว่า วิชาการ หรืองานบริหารก็ไม่ได้ฆ่านักเขียนดีๆ ไปจากบ้านเมืองเสียทั้งหมด)
ครับ- ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมชื่นชอบ แต่ก็คงไม่อาจหยั่งลึกคัดย่อมาให้ทุกท่านได้อ่านเสียทั้งหมด เพราะอยากให้ทุกท่านติดตามด้วยตนเอง
หลายต่อหลายเรื่องยังคงทำหน้าที่บันทึกและวิพากษ์สังคมได้อย่าน่าสนใจ ไม่เว้นกระทั่งนโยบายของรัฐ และนักการเมืองต่างๆ นานาๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของการล่มสลายทางสังคม
ลองติดตามดู หรือติดตามอ่านด้วยตนเอง นะครับ
ผมชอบ และเชื่อว่าหลายๆ ท่านจะชอบไม่แพ้กับที่ผมชอบ
เขียน : 28 ตุลาคม 2559
มหาสารคาม
เนื้อหา ดีดี น่าอ่านทั้งนั้นเลย นะคะ ขอบคุณค่ะ
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านบทวิจารณ์หนังสือรวมเรื่องสั้น "หุ่นไล่กา" ของ "นายแผ่นดิน" ผ่านทางเฟสบุคของ ไพฑูรย์ ธัญญา ขอแสดงความชื่นชมต่องานวิจารณ์เชิงแนะนำสิ่งดี ๆ เรื่องเด่น ๆ ที่น่าอ่าน ถ้าคนรุ่นใหม่อ่านหนังสือได้ลึกและเขียนบทวิจารณ์ได้ดีอย่าง "นายแผ่นดิน" ครูคนนี้คงจะเริ่มให้เวลากับการอ่านบทวิจารณ์หนังสือของคนรุ่นใหม่ (รุ่นศิษย์ของลูกศิษย์) มากขึ้น หลังจาก "หยุด" มานาน ด้วยเหตุผลเฉพาะตัว ดีใจมากที่มีนักอ่านนักวิจารณ์ฝีปากคมภาษาเนียนความคิดลึกซึ้งอย่าง "นายแผ่นดิน" ผู้เปิดเวทีนักอ่านให้เลียบเลาะตู้หนังสือของเขา
ชลธิรา สัตยาวัฒนา
สวัสดีครับ Dr. Ple
ผมเชียร์ให้อ่านเรื่องสั้นเล่มนี้เลยครับ บันทึกประวัติศาสตร์สังคมไทยไว้ในหลายประเด็น มีทั้ง จำนำข้าว สงครามสีเสื้อ สามชายแดนภาคใต้ การเปลี่ยนผ่านของแผนพัฒนาระดับท้องถิ่นในสังคมอีสาน ความล่มสลายของบ้านเมืองภายใตัระบบคิดการฉ้อฉนของนักการเมือง รวมถึงการกล่าวถึงข้อมูลเชิงวิชาการว่าด้วยนักคิด นักเขียน นักปฏิวัติ วรรณคดี วรรณกรรมหลากแนวคิด รวมถึงทฤษฎีต่างๆ
อ่านไม่เครียดครับ ----
สวัสดีครับ อ.ชลธิรา สัตยาวัฒนา
เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยคระบกับการมาทักทายใน Blog ของผม....
จะว่าไปแล้ว ผมมีความรู้และทักษะการวิเคราะห์เรื่องสั้นน้อยมาก ครับ
ผมอ่านในแบบเอาใจนำพาศรัทธานำทางครับ ชอบเพราะชอบไม่ได้ใช้มฤษฎีใดเทียบเคียง เพราะไม่ค่อยได้มีอยู่ในตัว
จริงๆ ชอบอีกหลายเรื่องเลยครับ ที่นี่...ปัตตานี่กับการหยอกหยิกท่านผู้นำและวิถีสื่อมวลชนอย่างเจ็บจี๊ด หรือกระทั่งการตายของชาวนาในวาระการจองจำ (จำนำข้าว) ความตายที่ไม่ตาย หากแต่พยายามถูกนำมาใช้ให้เกิดมรรคผลไม่รู็จบ แต่ผมชอบ "เจ้าเคนผีบ้า" มาก โผล่มาตอนต้นไม่กี่ช็อต แถมโผล่มาปิดท้ายแบบเก๋ๆ พร้อม "ผีแม่ม่าย" ทำให้ผมได้ฮาไปกับเรื่องนี้ --- ถ้าอีสานบ้านผมที่คุ้นชิน ผีแม่ม่ายมาพาตัวไป ต้องนอนหลับ "ไหลตาย" แต่นี่ไม่ใช่.....แต่ก็ดีครับ มีความสุขกับวรรณกรรมที่ยังบันทึกเรื่องราวอันเป็นยุคสมัยของสังคมได้อย่างน่าอ่าน ---
ขอบพระคุณครับ