กรณีศึกษาสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันประเทศไทยในฐานะบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙
---------
คำถาม[1]
---------
สนธิสัญญาดังต่อไปนี้ กฎเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศภายใต้สนธิสัญญาฉบับใดที่มีผลผูกพันประเทศไทยในฐานะบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ? เพราะเหตุใด ?
-------------
แนวคำตอบ
--------------
เมื่อกล่าวถึงบ่อเกิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ เราจะต้องคำนึงถึงมาตรา ๓๘ แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพราะมาตรานี้เป็นตัวกำหนดสิ่งที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอาจนำมาใช้ในการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างประเทศ
มาตรา ๓๘ แห่ง ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกำหนดว่า
"(๑.) ศาลนี้ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาพิพากษากรณีพิพาทที่มาสู่ศาลตามกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องใช้
(ก) อนุสัญญาระหว่างประเทศ ไม่ว่าทั่วไปหรือโดยเฉพาะ ซึ่งตั้งกฎเกณฑ์อันเป็นที่รับรองโดยรัฐที่เกี่ยวข้องโดยแจ้ง
(ข) จารีตประเพณีระหว่างประเทศในฐานะเป็นหลักฐานแห่งการปฏิบัติโดยทั่วไป ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นกฎหมาย
(ค) หลักทั่วไปของกฎหมายซึ่งอารยประเทศรับรอง
(ง) ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๕๙ คำตัดสินขององค์กรตุลาการและคำสอนของผู้เผยแพร่ที่มีคุณวุฒิสูงสุดแห่งประเทศต่างๆ ในฐานะเป็นเครื่องช่วยให้ศาลวินิจฉัยหลักกฎหมาย
(๒.) บทบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนอำนาจของศาลในการวินิฉัยชี้ขาดคดี โดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติเช่นนั้น”
จากการพิจารณาข้อกำหนดของมาตรา ๓๘ จะเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดถึงบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ๓ ระดับ กล่าวคือ บ่อเกิดอันดับแรก บ่อเกิดอันดับรอง และบ่อเกิดตามเจตนาของรัฐ
บ่อเกิดอันดับแรก ก็คือ ตัวกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอาจนำ มาตัดสินคดี กล่าวคือ สิ่งที่ศาลยอมรับในฐานะของกฎหมายที่เป็นอยู่(Positive Law) มาตรา ๓๘ ระบุถึง บ่อเกิดอันดับแรกว่า มีอยู่ ๓ ประเภท อันได้แก่ สนธิสัญญา กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และ หลักกฎหมายทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
โดยมาตรา ๓๘ (๑.) (ก.) รัฐจะต้องยอมรับกฎเกณฑ์ภายใต้อนุสัญญาในสถานะของบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศก็ต่อเมื่อรัฐนั้นได้ยอมรับที่จะผูกพันกับอนุสัญญาดังกล่าว กล่าวโดยหลักทั่วไป ก็คือ ได้มีการลงนามและให้สัตยาบัน หรือในกรณีที่รัฐยังไม่ยอมรับผูกพันตามอนุสัญญาจนเป็นที่สุดแล้ว กฎเกณฑ์ตามอนุสัญญาก็อาจมีผลผูกพันรัฐได้หากกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการยอมรับจากนานารัฐในสถานะของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศหรือหลักกฎหมายทั่วไปตามมาตรา ๓๘ (๑.) (ข.)
ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ประเทศไทยได้ลงนามในวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๑ (ค.ศ.๑๙๕๘) และให้สัตยาบันในวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ (ค.ศ.๑๙๖๘) ต่ออนุสัญญาแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยทะเลหลวง ค.ศ.๑๙๕๘ แล้ว กฎเกณฑ์ภายใต้อนุสัญญานี้จึงมีผลผูกพันประเทศไทยในฐานะบ่อเกิดอันแรกของกฎหมายระหว่างประเทศประเภทอนุสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา ๓๘ (๑) (ก)
แต่ในส่วนกฎเกณฑ์ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ นั้น เนื่องจากประเทศไทยลงนามในอนุสัญญานี้แล้วในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๕ (ค.ศ.๑๙๘๒) แต่ยังมิได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าว ดังนั้น กฎเกณฑ์ภายใต้อนุสัญญานั้นจึงไม่อาจมีผลผูกพันประเทศไทยในฐานะอนุสัญญาระหว่างประเทศซึ่งเป็นบ่อเกิดอันดับแรกของกฎหมายระหว่างประเทศตามมาตรา ๓๘ (๑) (ก) แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎเกณฑ์ภายใต้อนุสัญญานี้ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะ “การปฏิบัติโดยทั่วไป ซึ่งได้รับการรับรองเป็นกฎหมาย” กฎเกณฑ์ดังกล่าวจึงย่อมผูกพันประเทศไทยได้ในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นบ่อเกิดอันดับแรกของกฎหมายระหว่างประเทศเช่นกัน แต่เป็นไปตามมาตรา ๓๘ (๑) (ข)
[1] ข้อสอบปลายภาคในวิชา น. ๔๖๕ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ภาคที่ ๑ ของปีการศึกษา ๒๕๔๑ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
ไม่มีความเห็น