หนังสือ ยาดแย่งการพัฒนาและความทันสมัยในลาว สะกิดให้ผมคิดว่า ประเทศที่วิชาการไม่แก่กล้าเป็นวิชาการเลียนแบบ หรือวิชาการตอนกิ่ง ไร้รากแก้วมักคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า “นโยบาย”เป็นสิ่งที่เมื่อ ปฏิบัติตามแล้วจะได้ผลตามที่คาดหวังเสมอไป นี่คือกระบวนทัศน์ที่ผิดพลาดในเรื่องนโยบาย เพราะใช้ กระบวนทัศน์แบบเส้นตรง หรือ simple – linear mindset ในขณะที่เรื่องต่างๆ ในสังคมมันมีความซับซ้อนต้องการทำความเข้าใจหรือดำเนินการบนฐานของ complex – adaptive mindset
หัวใจคือกระบวนทัศน์แห่งความสงสัยไม่ใช่กระบวนทัศน์แห่งความเชื่อคนในวงการนโยบาย ต้องมีคำถามว่า นโยบายที่กำหนดไว้เพื่อเป้าหมายหนึ่งนั้นเมื่อเอาไปปฏิบัติแล้ว ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้หรือไม่ ไม่ใช่เชื่อแบบหัวชนฝาว่า เพราะตนวางแนวทางไว้อย่างดี ต้องได้ผลซีน่า
หากคิดแบบนี้ การวิจัยนโยบายก็มี ๒ แนวคือวิจัยเพื่อกำหนดนโยบายกับวิจัยเพื่อดำเนินการ ให้เกิดผลตามเป้าหมายของนโยบายอาจเรียกแบบแรกว่า การวิจัยนโยบายขาขึ้นและเรียกแบบหลังว่า การวิจัยนโยบายขาลง
ในหนังสือเล่มนี้ มีบทความ จากไร่ข้าวสู่สวนยาง การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเกษตรของชุมชน บนที่สูงในแขวงหลวงน้ำทา สปป. ลาว บอกผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายส่งเสริมการทำสวนยาง ของประเทศลาว ทำให้เกิดการแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยชาวบ้านไม่รู้ตัวผมจึงมองบทความวิจัยนี้เป็น งานวิจัยนโยบาย (ขาลง)ไม่ใช่แค่วิจัยด้านสังคมศาสตร์โดยทั่วไป และผู้ได้รับประโยชน์จากงานวิจัยนี้ คือรัฐบาลลาวที่จะนำความรู้นี้ ไปปรับปรุงมาตรการเพื่อบรรลุผลของนโยบายส่งเสริมการทำสวนยางโดยหลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อน หรือผลกระทบทางลบให้ได้
ทำให้ย้อนกลับมาคิดถึงนโยบาย Thailand 4.0ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจแบบ value-based economyซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้องที่จะต้องมีการวิจัยหนุนการสร้างสินค้า บริการ และผลิตภัณฑ์ ที่มีนวัตกรรมการวิจัยส่วนของการผลิตจึงน่าจะคึกคักมีคนบอกว่า การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจะเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูเพื่อหนุน ๕ กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ของไทยแลนด์ ๔.๐และมีคำถามว่า แล้วการวิจัย ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ล่ะ อยู่ตรงไหน
คำตอบของผมคือ การวิจัยเพื่อพัฒนาต้องทำเป็นชุด (package)มีเป้าหมายที่นวัตกรรมของสินค้า และบริการโดยต้องรู้ความต้องการของตลาด หรือทิศทางที่ลูกค้าต้องการส่วนนี้นักวิจัยสายสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์จะมีบทบาทมาก แต่ต้องมีการจัดการโจทย์วิจัยให้ดีให้ได้โจทย์ที่คม และหานักวิจัยที่เสนอ วิธีการตอบโจทย์ที่น่าเชื่อถือ
หลังจากสินค้า/บริการออกตลาดก็ต้องการการวิจัยเพื่อทราบปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน (ผู้บริโภค) กับสินค้า/บริการสำหรับนำมาปรับปรุงพัฒนาสินค้า/บริการอย่างต่อเนื่องจะเห็นว่านโยบายการพัฒนา ประเทศในภาพใหญ่ต้องการระบบวิจัย และการบริหารงานวิจัยที่ถูกต้องเข้าไปหนุนผมหวังว่าจะมีคน ในวงการจัดการระบบวิจัยเห็นประเด็นนี้และหาทางจัดการระบบวิจัยให้เข้าไปหนุนขบวนการไทยแลนด์ ๔.๐
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.ค. ๕๙
<p “=””>
</p>
ไม่มีความเห็น