วิชาภาวะผู้นำ เป็นวิชาเลือกเสรีในหมวดศึกษาทั่วไปที่ต่อยอดมาจากวิชา “การพัฒนานิสิต” โดยยังคงกรอบแนวคิดและกระบวนการเรียนการสอนในแบบเดียวกัน คือ บันเทิงเริงปัญญาผ่านหัวใจการเรียนรู้ 3 มิติ คือ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เรียนรู้ผ่านกิจกรรม/โครงการ โดยใช้ชุมชนเป็นห้องเรียน
ภายใต้แก่นสารการเรียนรู้ทั้ง 3 มิติได้ยึดโยงแนวคิดอีกหลายแนวคิดเข้ามาเกี่ยวโยง เช่น การเรียนรู้คู่บริการ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจัดการความรู้ การบริหารโครงการในแบบ PDCA ภาวะผู้นำ การสื่อสารสร้างพลัง ฯลฯ
โครงการ “นิสิตอาสาสร้างห้องน้ำวัดป่าปัญญาธโร” เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ โครงการจากวิชาภาวะผู้นำที่ดูเหมือนจะปรากฏภาพการเรียนรู้ตามหลักคิดข้างต้นอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้วัตถุประสงค์สำคัญๆ คือการบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการสร้างห้องสุขาให้กับวัดป่าและปลูกฝังเรื่องจิตสาธารณะและการทำงานอย่างเป็นทีมแก่นิสิต
โครงการดังกล่าวจัดขึ้น ณ วัดป่าปัญญาธโร (บ้านหนองแข้) ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นสำนักสงฆ์ในเขตชุมชนขามเรียงที่กำลังได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากผู้คน ปัจจุบันวัด/สำนักสงฆ์ดังกล่าวมีพระอาจารย์อาทิตย์ อภิปุณโญ เป็นเจ้าอาวาส เน้นการพัฒนาคนและสังคมผ่านการปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆ จังๆ
ไม่ได้ทำกัน "ตูมเดียว" และไม่ได้เลือกเพราะ "ไม่มีทางเลือก"
กิจกรรมครั้งนี้นิสิตมีกระบวนการ “เสาะหาพื้นที่” ที่หลากหลายผ่านระบบและกลไกการทำงานแบบมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม เริ่มตั้งแต่การมอบหมายให้สมาชิกแต่ละคนนำเสนอพื้นที่ที่ต้องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คู่บริการร่วมกัน
และเท่าที่สังเกตดูข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดต่างล้วนเป็นพื้นที่ในเขตชุมชนขามเรียง มีทั้งที่เป็นโรงเรียนและหมู่บ้าน โดยเฉพาะที่เป็นหมู่บ้านนั้นจะมีความโดดเด่นในเรื่องภูมิปัญญาการจักสานและการทอผ้าไหม แต่จนแล้วจนรอดก็มาลงเอยกันที่ประเด็นการสร้างห้องสุขาที่วัดป่าปัญญาธโร-
สำหรับเหตุผลของการเลือกวัดป่าปัญญาธโรเป็นพื้นที่การเรียนรู้คู่บริการนั้น นายณัฐพล ศรีโสภณ หนึ่งในแกนนำกลุ่มบอกเล่าประมาณว่า
นอกจากนั้นนิสิตยังเล่าให้ฟังเพิ่มเติมประมาณว่า
ใช่ครับ- ฟังจากปากคำของนิสิต เห็นได้ชัดว่าเป็นปากคำที่สะท้อนภาพการทำงานในมิติ “เรียนรู้คู่บริการ” อย่างเด่นชัด แนวคิดเช่นนั้นทำให้เราชัดเจนว่า “ชุมชนคือห้องเรียน” หรือ “ชุมชนคือคลังความรู้” ที่พร้อมรองรับการเรียนรู้และสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่าง “นิสิตกับชุมชน” หรือ “ชุมชนกับนิสิต”
และที่สำคัญคือกิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นในแบบ “ตูมเดียว-วันเดียวจบ” แต่มีกระบวนการขับเคลื่อนเป็นระยะๆ ตามครรลองที่ได้ร่ำเรียนภาคทฤษฎีในชั้นเรียน โดยเริ่มตั้งแต่การลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ จากนั้นก็วิเคราะห์บริบทเพื่อพัฒนาโจทย์ร่วมกับชุมชน (วันที่ 2-3 เมษายน 2559) มีการปรับความคาดหวังและวางแผนการทำงาน จนนำไปสู่การปฏิบัติการจริง (วันที่ 9-10 เมษายน 2559)
ถัดจากนั้นก็ทิ้งช่วงไว้สักระยะแล้วจึงกลับเข้าไปประเมินผลการใช้ประโยชน์อีกครั้ง (วันที่ 23 เมษายน 2559) รวมถึงการนำเสนอผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ (วันที่ 25 เมษายน 2559) เรียกได้ว่าครบกระบวนการต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ แถมยังมีกระบวนการประเมินผลที่เป็นรูปธรรมผ่านแบบสอบถาม ผ่านการสัมภาษณ์ ผ่านการสังเกตการณ์ และอื่นๆ อย่างน่าประทับใจ
หนุนเสริมงานเดิมในชุมชน และเรียนรู้คู่บริการ
เดิมทางวัดและชุมชนมีแผนที่จะสร้างห้องสุขาขึ้นภายในวัดอยู่แล้ว แต่ยังขาดกำลังคนและงบประมาณในบางส่วน ประกอบกับวันเวลายังไม่ลงตัว เนื่องจากแกนนำแต่ละคนยังคงมีภารกิจชีวิตอย่างต่อเนื่อง บรรจบกับการที่นิสิตเข้าไปปรึกษาเกี่ยวกับความประสงค์ที่จะเข้ามาจัดกิจกรรม จึงเห็นพ้องที่จะหยิบจับเรื่องห้องสุขามาเป็นวาระ “งานบุญ” ร่วมกันให้เสร็จสิ้นสักที
ดังนั้นทั้งนิสิต คณะสงฆ์และชาวบ้าน จึงเห็นพ้องที่จะลงมือสร้างห้องสุขาร่วมกัน โดยชุมชนจะเป็น “พ่อช่าง” สอนงานแก่นิสิตในแบบ “สอนลูกสอนหลาน” พร้อมๆ กับการที่ชาวบ้านแสดงเจตนารมณ์ด้วยการระดมทุนในชุมชนเป็นหัวใจหลักโดยไม่ให้นิสิตได้เดือดร้อนในเรื่องงบประมาณ –
ครับ-ผมว่านี่คือภาพสะท้อนของหลักคิดการทำงานแบบมีส่วนร่วม หรือการแสดงความเป็นเจ้าของที่น่าสนใจของชุมชน และนี่คือหลักฐานสำคัญที่สื่อให้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นสำคัญกับชุมชนแค่ไหน เป็นความต้องการของชุมชนโดยแท้จริง มิใช่เป็นสิ่งที่นิสิต หรือมหาวิทยาลัยฯ คิดเอง เออเองและหยิบยื่นให้กับชุมชนโดยไม่คำนึงว่าจริงๆ แล้วตรงกับความต้องการของชุมชนหรือไม่
กิจกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้มุ่งเน้นแต่เฉพาะการสร้างห้องสุขาเท่านั้น นิสิตยังได้เรียนรู้เรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ชุมชนอย่างสนุก ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำเกี่ยวกับการ “ร่อนทราย ผสมปูน ก่ออิฐ ขนอิฐ วัดระดับน้ำ ฉาบปูน” หรือกระทั่งการป้องกันสัตว์มีพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในอิฐมอญ รวมถึงเรื่องสมุนไพรที่ใช้รักษาเยียวยาเมื่อถึงคราวเคราะห์ที่ต้องโดนสัตว์มีพิษต่อย
นอกจากนั้นยังได้ร่วมทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรมรับศีลรับพรและเสวนาพาทีอย่างไม่เป็นทางการกับชาวบ้านในเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งชาวบ้านเองก็ให้ความเมตตาบอกเล่าอย่างเป็นกันเองต่อนิสิต ราวกับการบอกเล่าเรื่องราวต่อลูกหลานดีๆ นั่นเอง
ไม่เฉพาะเท่านั้นหรอกนะครับ นิสิตยังได้จัดแบ่งหน้าที่ให้ “คนสมดุลกับงาน” ผ่านกิจกรรมหน้างานอย่างน่ายกย่อง เช่น แบ่งคนไปทำอาหาร แบ่งคนไปทำความสะอาดวัด ปัดกวาดใบไม้ ปลูกต้นไม้และล้างห้องน้ำ เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้มี “คนว่างงาน” หรือกรีดกรายเปื้อนฝุ่นไปอย่างไร้สาระ การบริหารจัดการคนเช่นนี้ ผมมองว่าไม่ใช่แค่ช่วยกระตุกกระตุ้นให้นิสิตตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองและทีมเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการป้องกันมิให้ชุมชนมองว่า ”นิสิตมาทำกิจกรรมเล่นๆ เพื่อแลกเกรด” !
เรียนรู้หน้างาน เรียนรู้จากสถานการณ์จริง
โดยรวมแล้ว ผมมองว่ากิจกรรมครั้งนี้นิสิตได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำอย่างน่าสนใจ เป็นการเรียนรู้งานผ่านการสอนสั่งจากชาวบ้านและพระอาจารย์ฯ อย่างชัดแจ้งในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการ “สร้างห้องสุขา” นั้นถือว่า “ชัดเจนมาก”
มิหนำซ้ำ พระอาจารย์ฯ ยังแนะนำให้นิสิตได้เข้าร่วมกิจกรรม “รดน้ำดำหัว” ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ “ศาลากลางบ้าน” ด้วยอีกต่างหาก เป็นการบอกย้ำถึง “ฮีตคองประเพณีของคนไทย” และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน หรือกระทั่งเป็นกุศโลบายให้นิสิตได้เข้าสู่หมู่บ้านอย่างแยบยล มิใช่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำกิจกรรมอยู่แต่ภายในวัด โดยไม่สนใจหลักคิดของความเป็น “บวร”
ยิ่งไปกว่านั้นนิสิตทั้งหมดยังได้ “บทเรียนชีวิต” ผ่านการจัดกิจกรรมอย่างน่าทึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่มีการลำเลียงอิฐมอญไปสู่การก่อฉาบ บังเอิญมีนิสิตท่านหนึ่งโชคร้ายถูกแมงป่องต่อย ชาวบ้านจึงได้แนะนำเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองแบบง่ายๆ โดยเริ่มจากการเคาะอิฐมอญให้เกิดเสียงดังไปเรื่อยๆ ซึ่งเสียงที่เกิดขึ้นจะช่วยไล่แมลงหรือสัตว์มีพิษออกจากก้อนอิฐไปโดยปริยาย
ถัดจากนั้นก็นำเข้าสู่การปฐมพยาบาลผ่านการดูแลอย่างใกล้ชิดจากชาวบ้าน เช่น ประคบเย็นด้วยน้ำแข็ง ทาหรือราดด้วยน้ำมะนาว (พิษเย็นสยบพิษร้อน) จากนั้นก็ทาทับด้วยยาหม่องอีกรอบ ส่งผลให้นิสิตท่านนั้นไม่มีอาการคัน หรือกระทั่งอาการปวด-บวม
สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่แลกมาจากความเจ็บปวด และเป็นบทเรียนที่เชื่อมโยงให้เห็นความรู้ของชาวบ้านบนฐานภูมิปัญญาที่ไม่ตกยุค
โดยสรุปแล้ว
ผมมองว่าโครงการ/กิจกรรมนี้สะท้อนภาพการเรียนรู้คู่บริการอย่างชัดเจน นับตั้งแต่การค้นหาโจทย์อันเป็นความต้องการของชุมชน ถึงแม้นิสิตจะไม่มีประสบการณ์ด้านการสร้างห้องสุขา (ห้องน้ำ) แต่ก็ได้ทำงานในสถานะของการเป็น “ลูกมือ” ให้กับชาวบ้านอย่างน่ารักน่าเอ็นดู และการเป็นลูกมือที่ว่านั้นก็ถือเป็นความโชคดีที่ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาด้านช่างจากชาวบ้านไปในตัว
ครับ-ง่ายงามบนความต้องการของชุมชน และง่ายงามโดยไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเกินศักยภาพของการเรียนรู้คู่บริการที่นิสิตพึงกระทำได้
ส่วนนิสิตทำกิจกรรมครั้งนี้แล้วได้เรียนรู้อะไร หรือก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์อย่างไร ไว้ให้นิสิตมาบอกเล่าด้วยตัวเอง จะดีกว่า (ถึงผมรู้แล้ว แต่ก็ขออนุญาตที่จะไม่บอกเล่าด้วยตนเอง-นะครับ)
หมายเหตุ ภาพโดยนิสิตวิชาภาวะผู้นำ 2/2558
ง่าย งาม ตามความต้องการของชุมชน ... ดีจริงๆ ค่ะ ... ชื่นชมมากๆ ค่ะ
"มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับการเรียนรู้คู่บริการ นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมเเละชุมชน
ในการเรียนและทำกิจกรรมครั้งนี้ ทำให้เรามีชุมชนเป็นแหล่งสร้างองค์ความรู้
เป็นห้องเรียนที่ดีระดับหนึ่งของการเรียนรู้ในมหาลัย การมีจิตสาธารณะ
เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเข้าใจ วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน
ทำให้ผมได้ประสบการณ์ ได้งาน ได้ความรู้ ได้ธรรมะ
ได้บำเพ็ญประโยชน์ ได้ทำบุญ"
ใช้สัดส่วนทรัพยากรของชุมชนมากกว่าจากภายนอก
นี่คือ การพัฒนาจากรากฐานของชุมชนที่งดงาม
มีภูมิปัญญาชาวบ้านเต็มไปหมดให้นิสิตได้ค้นหาการเรียนรู้นะคะ