สืบเนื่องจากบันทึกก่อนหน้านี้ จุดประกายไฟใส่สีความฝัน (เปิดเรื่อง) ถือโอกาสเขียนบอกเล่าต่อเนื่องอีกสักบันทึก
โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน มีกระบวนการคัดเลือกพื้นที่ของการ “ออกค่าย” หรือ “จัดกิจกรรม” คล้ายคลึงกับหลายๆ กิจกรรมขององค์กรนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวคือ เริ่มต้นจากการมอบหมายให้สมาชิกในชมรมฯ ได้ทำการเสาะแสวงหาพื้นที่มานำเสนอต่อคณะกรรมการและสมาชิกในองค์กรเพื่อพิจารณาลงมติร่วมกัน
กรณีคุณสมบัติของพื้นที่ จะประกอบด้วยเกณฑ์สำคัญๆ คือ เป็นโรงเรียนที่ยังไม่ค่อยได้รับโอกาสในด้านการแนะแนวการศึกษา มีเปอร์เซ็นต์การศึกษาต่อของนักเรียนค่อนข้างน้อย คณะผู้บริหาร คณะครูและชุมชนมีความสนใจและให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้น
ว่าไปแล้ว – ถึงแม้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกนำเสนอล้วนมาจากพื้นที่อันเป็น “โรงเรียนเดิมของสมาชิกในชมรม” ก็เถอะ กระนั้นผมก็ไม่ได้อะไรมากมายกับที่มาที่ไปเช่นนั้น เพราะดูเหมือนแนวทางของการได้มาซึ่งค่ายในระยะหลังๆ ก็เป็นไปในทำนองนี้แทบทั้งสิ้น
ตรงกันข้าม- สำหรับโครงการนี้ผมกลับรู้สึกชื่นชอบวิธีการพิจารณาคัดเลือกเสียมากกว่า เนื่องเพราะมีกระบวนการเปิดโอกาสให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ไม่ใช่การ “ปิดลับ” หรือให้อำนาจแต่เฉพาะคณะกรรมการบริหารชมรมเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ
กระบวนการที่ว่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงกรอบแนวคิดอันเป็นทฤษฎี “การมีส่วนร่วม” ที่ควรค่าต่อการสืบต่อและยกฐานะเป็น “วัฒนธรรมองค์กร” เป็นที่สุด
กระบวนการบูรณาการกิจกรรมแบบบันเทิงเริงปัญญา
การจัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาในโครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน เป็นกิจกรรมที่บูรณาการบนฐานคิด “บันเทิงเริงปัญญา” ที่ประกอบด้วยสาระและความสนุกสนานเป็นหัวใจหลัก
เริ่มต้นจากกิจกรรมเปิดตัวในเวทีอย่างเป็นทางการต่อหน้าโรงเรียนและชุมชน มีการร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัย แนะนำสมาชิก หรือคณะทำงานจากมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียกกันว่า “พี่ค่าย” ไม่ว่าจะเป็นพี่บอร์ด พี่กลุ่ม พี่สัน (สันทนาการ) พี่พิธีกร –พี่พิธีการ พี่ประสานงาน พี่ทะเบียน พี่เบื้องหลัง (โดยเฉพาะกลุ่มห้องครัวที่เสียสละปักหลักในครัวอย่างจริงจังจนแทบจะไม่มีโอกาสโผล่ออกมาเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ กับเพื่อนพ้องน้องพี่)
ถัดจากนั้นจึงเริ่มเข้าโหมดการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการเปิดวีดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยฯ ให้คณะครู นักเรียน หรือกระทั่งชุมชนได้รับรู้และรับชมร่วมกัน
ต่อเนื่องด้วยการบรรยายให้เข้าใจถึงแนวทางการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมหาสารคามผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการรับตรง-รับผ่านส่วนกลาง หรือโครงการพิเศษอื่นๆ เช่น โครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านกีฬาและศิลปวัฒนธรรม โครงการเด็กดีมีที่เรียน หรืออื่นๆ ผูกโยงถึงระบบทุนการศึกษาที่มีในมหาวิทยาลัย ทั้งทุนกู้ยืม ทุนให้เปล่า อันเป็นสวัสดิการของการเล่าเรียน
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมหนุนเสริมอีกจำนวนหนึ่ง เช่น
ถัดจากนั้นจึงแบ่งนักเรียนเข้าสู่ฐานต่างๆ อันเป็นกระบวนการของการแนะแนวการศึกษา ซึ่งมี “พี่บอร์ด” เป็นหัวใจหลักของการสื่อสาร โดยแต่ละกลุ่มจะมี “พี่กลุ่ม” คอยดูแลพานักเรียนเข้าฐาน รวมถึงการทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวต่อการเรียนรู้และการเกิดมิตรภาพในกลุ่ม
กรณีกิจกรรมในแต่ละฐาน จะเน้นกิจกรรมในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” มุ่งให้ได้ทั้งความสนุกและความรู้คู่กันไป โดยเน้นการสื่อสารถึงคุณลักษณะสำคัญๆ ของวิชาชีพต่างๆ ผ่านกิจกรรมและสื่อต่างๆ ที่มีในฐาน ตลอดจนการสื่อสารผ่านการแต่งกายที่บ่งบอกวิชาชีพนั้นๆ รวมถึงการสอดแทรกกิจกรรมเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีให้กับนักเรียนในกลุ่มไปในตัว เพื่อก่อให้เกิดทักษะของการอยู่ร่วมกัน มิใช่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเรียนรู้
ยิ่งมาพิจารณาหยั่งลึกลงจริงๆ จะเห็นว่ากระบวนการทั้งปวงได้ซ่อนเรื่องของการบ่มเพาะเรื่องจิตสาธารณะ (จิตอาสา) ให้แก่นักเรียนไปในตัวด้วยเหมือนกัน
ขณะที่กระบวนการแนะแนวการศึกษา ก็ถูกออกแบบเป็นฐานๆ ดังนี้
กรณีการจัดฐานการเรียนรู้นั้น ผมเปิดใจเรียนรู้กับนิสิตว่า “ทุกกิจกรรมมีเหตุผลและครรลองของตัวเอง” จึงไม่ได้โต้แย้งอะไรมากมาย ตรงกันข้ามกลับให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับนิสิตเกี่ยวกับกลุ่มวิชาชีพในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดังว่า
ส่วนกรณีคณะการบัญชีและการจัดการที่นิสิตจัดอยู่ในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าคณะดังกล่าวมีสาขา หรือหลักสูตรเป็นจำนวนมาก นิสิตจึงจัดแยกออกเป็นอีกฐานหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเจาะลึกถึงสาขาต่างๆ อย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยเหตุนี้ผมจึงฝากประเด็นให้คิดต่อยอดว่า การแบ่งกลุ่มเช่นนี้ก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนอันใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะฝากประเด็นเพิ่มเติมให้ไปคิดต่อประมาณว่า “หากสามารถเปลี่ยนชื่อกลุ่มของคณะการบัญชีและการจัดการใหม่โดยไม่ใช้คำว่า “บริการ” ก็น่าจะดี เพราะสาขาวิชาชีพที่มีในคณะก็หาใช่จะสุดโต่งไปในด้านบริการเสียทั้งหมด”
กิจกรรมภาคกลางคืน : เติมฟืนไฟใส่สีสันชีวิต
ถึงแม้ค่ายครั้งนี้จะไม่ใหญ่โตเป็นมหกรรมชวนตื่นตาตื่นใจ เพราะใช้เวลาเพียง 2 วันกับ 1 คืน แต่ก็ถือว่าเป็นการนำวันหยุดเพียงไม่กี่วันมาปรุงแต่งสู่การรับใช้สังคมอย่างน่ายกย่อง และถึงแม้จะเป็นค่ายอาสาพัฒนาเชิงวิชาการเล็กๆ ก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นความง่ายงามในครรลองของคนหนุ่มสาวที่เพียรพยายามจะค้นหาความหมายการใช้ชีวิตผ่านมุมมองของเขาเอง
นั่นคือสิ่งที่ผมมองว่าเราทุกคนต้องเข้าใจ เห็นใจ และให้กำลังใจกันอย่างจริงจัง
สำหรับผมแล้ว - กิจกรรมฐานการเรียนรู้ในภาคกลางวันนั้น หากไม่นับประสิทธิภาพในด้านการแนะแนวการศึกษาแก่นักเรียน ผมชื่นชอบการออกแบบฐานการเรียนรู้ในแบบ “นอกห้องเรียน” มากเป็นพิเศษ เพราะช่วยให้นักเรียนได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนในห้องเรียนมาสู่การเรียนนอกห้องเรียนกันอย่างจริงๆ จังๆ ได้ดูได้ชมสถานที่ต่างๆ ในโรงเรียนของตนเอง
กรณีดังกล่าวนี้ ผมเชื่อว่าดีไม่ดีนักเรียนบางคนอาจไม่เคยได้ใส่ใจกับสถานที่เหล่านี้เลยด้วยซ้ำไป ต่อเมื่อต้องมาเข้าฐานตามร่มไม้และหย่อมหญ้า จึงอาจเริ่มให้ความสนใจกับบริบทสถานศึกษาของตนเองมากยิ่งขึ้นด้วยก็เป็นได้
ในส่วนกิจกรรมภาคกลางคืน งานค่ายครั้งนี้ก็รังสรรค์กิจกรรมให้สอดรับกับวันวัยแห่งการเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี โดยหนุนเสริมกิจกรรมบันเทิงเริงปัญญาเข้าไปคำรบหนึ่ง ประกอบด้วยกิจกรรม ระหว่างนักเรียนกับพี่นิสิต เป็นต้นว่า การแสดงของแต่ละกลุ่ม บางกลุ่มได้หยิบยกเอาเรื่องราวอันเป็นประเด็นทางสังคมมาสื่อแสดง ขณะที่บางกลุ่มมุ่งสู่ความเฮฮาไปตามห้วงวัยของเขาเอง หรือกระทั่งการหยิบจับเรื่องราวชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมาเป็นโจทย์เพื่อสะท้อนกลับสู่นิสิตและนักเรียนอย่างแยบยล มิหนำซ้ำก่อนเข้านอน ยังมีกิจกรรม “พิธีเทียน” มากล่อมเกลาจิตใจทั้งนักเรียนและนิสิตอีกต่างหาก
โดยส่วนตัวผมมองว่ากิจกรรมทั้งหมดล้วนเป็นเสมือนการเติมเชื้อเพลิงชีวิตให้แต่ละคนได้มีความหวังและมุมมองสร้างสรรค์ในการที่จะใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้น หรือกระทั่งในวันเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่าและความหมาย (ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น) มิใช่การกรีดกรายไปมาโดยไม่รู้ว่าวันนี้คิดอะไร และจะเดินทางไปในทิศทางใด !
เตรียมคนสู่โครงการใหม่
กิจกรรมครั้งนี้มีนักเรียนเข้าร่วมในราว 200 คน ขณะที่นิสิตเข้าร่วมในราว 80 คน
โดยหลักๆ แล้วนิสิตที่เป็นแกนหลักจะเป็นชั้นปีที่ 2 โดยมีนิสิตชั้นปีที่ 1 เข้ามาเป็นฟันเฟืองช่วยพี่ปี 2 อย่างเต็มสูบ ส่วนนิสิตชั้นปีที่ 3-4 จะรับบทเป็น “พี่เลี้ยง” คอยดูแลให้คำปรึกษา และทำหน้าที่ “ประเมินผลการทำงาน” อย่างใกล้ชิด
การนำนิสิตชั้นปีที่ 1 เข้ามาเป็นฟันเฟืองหลักหนุนเสริมนิสิตชั้นปีที่ 2 เช่นนี้ คืออีกหนึ่งกระบวนการเชิงวัฒนธรรมของชมรมฯ ที่วางหมุดรองรับการ “สร้างคน” หรือ “เตรียมคน” สู่อีกโครงการไปในตัว กล่าวคือ ใช้โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝันเป็นสนามชีวิตให้นิสิตชั้นปีที่ 1 ได้เรียนรู้และทำจริงร่วมกับพี่ปี 2 เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในปรัชญาชมรม ปรัชญากิจกรรม หลอมรวมความสามัคคีและทักษะการทำงานอย่างเป็นทีม จากนั้นจึงขยับขึ้นสู่สถานะของการเป็นผู้รับผิดชอบหลักในโครงการ “ความรู้นี้พี่ให้น้อง” อันเป็น “ค่ายใหญ่” ที่จะมีขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนที่ 2
เรียกได้ว่า ใครไม่ผ่านโครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝันก็ยากไม่ใช่ย่อยกับการสถาปนาเป็นขุนกระบี่ในค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง
ครับ-นี่เป็นอีกครรลองหนึ่งของชมรมรุ่นสัมพันธ์ที่ออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างคนมาเกิน 1 ทศวรรษ ซึ่งผมมองว่าไม่มีความจำเป็นใดที่จะไปประเมินว่าแนวคิดหรือกระบวนการเช่นนี้ “ผิด หรือ ถูก” เพราะในทุกกิจกรรมย่อมมีเหตุผลและครรลองของมันเอง ตราบเท่าที่ทุกอย่างยังเดินทางได้ด้วยตนเองและไม่ทำร้ายใคร สิ่งนั้นแหละคือคำตอบที่ดีที่สุด เป็นคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องประเมินว่า “ดี หรือ ไม่ดี”
นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากโครงการนี้
เสียงสะท้อนการเรียนรู้จากนิสิต
ด้วยความที่โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน เป็นโครงการที่ไม่ซับซ้อนซ่อนปม ใช้เวลาการทำงานเพียงไม่กี่วัน แถมยังเป็นพื้นที่ของศิษย์เก่าในชมรมที่นำมาซึ่งความร่วมมือจากคณะครูและชุมชน ทั้งในด้านข้อมูลนักเรียน หรืออาหารการกินต่างๆ ยังผลให้โครงการบรรลุเป้าประสงค์ได้อย่างไม่ยากเย็น
กระนั้นก็ยังพบว่ามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เรียนรู้ร่วมกัน เช่น กำหนดการที่เลื่อนไหลไม่ตรงเวลา โดยเฉพาะกิจกรรมในแต่ละฐานที่ไม่สามารถยุติได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ หรือกระทั่งปัญหานักเรียนที่มีข้อทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่แล้ว ครั้นบังเอิญได้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน พลอยให้เกิดภาวะงี่งอนต่อการเรียนรู้ ส่งผลให้ทีมงานค่ายจำต้องปรับเปลี่ยนหน้างานกันอย่างละมุมละม่อม
นี่ก็เป็นมนต์เสน่ห์ของกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ท้าทายให้นิสิตได้เรียนรู้เพื่อความแกร่งของชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใด กิจกรรมในครั้งนี้มีกระบวนการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยเช่นกัน หากแต่ในที่นี้ผมจะหยิบยกเฉพาะผลการเรียนรู้ของนิสิตมานำเสนอ ยกตัวอย่างเช่น
ส่งท้าย
สำหรับผมแล้ว โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน เป็นค่ายอาสาพัฒนาเล็กๆ ในมิติ “ง่ายงามตามนิยามของตนเอง” โดยเฉพาะนิยามการสร้างทักษะการเรียนรู้ของนิสิตผ่านกิจกรรมการแนะแนวการศึกษาที่กำหนดให้แต่ละคนได้พูดในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพตนเอง เพียงเพื่อสร้างพื้นที่ หรือสังคมใหม่ของการเรียนรู้ให้กับนิสิต ซึ่งช่วยให้นิสิตได้มีมณฑลใหม่ของการเรียนรู้ ช่วยให้นิสิตได้เรียนรู้วิธีการของการได้มาซึ่งความรู้ผ่านกระบวนการต่างๆ อย่างหลากหลาย
ทั้งยังออกแบบไว้เพื่อเป็นฐานในการบ่มศักยภาพของคนในองค์กรเพื่อป้อนขึ้นสู่สายงานอื่นๆ หรือโครงการอื่นๆ เสมือนการบ่มจากเรื่องง่ายๆ ไปสู่เรื่องยากๆ โดยใช้วัฒนธรรมองค์กรเป็นเครื่องนำพาในแบบ “พี่สอนน้อง” อันเป็นหัวใจหลักของความเป็น “รุ่น” หรือ “รุ่นสัมพันธ์”
ใช่ครับ- ผมเชื่อเช่นนั้น....
หากแต่เบื้องต้น เอาเป็นว่า ผมชื่นชมและให้กำลังใจกับทีมชมรมฯ และทีมงานโครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝันอย่างจริงจัง และจริงใจ
หมายเหตุ
ภาพ : ชมรมรุ่นสัมพันธ์
กิจกรรม : โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน ครั้งที่ 14 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2558 ณ โรงเรียนคำสร้อยพิทยาสรรค์ อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร
แวะมาบอก..ว่า "พี่สอนน้อง".นั้น.เคยมีประสพการณ์นี้..ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ศิลปกร..ตอนนั้น..เป็นรุ่นแรก..ที่มีนักศึกษาในชั้นเรียนช่วงนั้น..ถึงสามสิบกว่าตน..(เดี๋ยวนี้คงเป็นร้อยนะ)...
ครับ คณยายธี
ผมเข้าเรียนอุดมศึกษา ปี 2534 ยุคนั้นในชั้นเรียนก็มีไม่เกิน 30 คนครับ ปัจจุบัน หลักร้อยแล้วครับ เป็นพลวัตการศึกษา และไม่อยากจะบอกว่าเป็นธุรกิจการศึกษา เพราะบางสาขาก็ยังมีจำกัดจำนวนไม่ถึงร้อยเหมือนกัน
แต่วิชาเรียนรู้ประเภทศึกษาทั่วไป ห้องๆ หนึ่งก็มีเปิดรับเข้าเรียนไม่ต่ำกว้าหลักร้อย ครับ แต่วิชาที่ผมดูแล ดีหน่อยจัดการเรียนรู้กึ่งกระบวนการ เลยพอให้ตื่นตัวอยู่พอสมคร เพราะไม่ใช่แค่บรรยายทฤษฎีเท่านั้น แต่มีกิจกรรมให้เรียนรู้อยู่เนืองๆ ครับ