ประสบการณ์จากการเป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วยให้ผมฉุกคิด และเขียนบันทึกนี้
ระบบธรรมาภิบาลของ มช. แตกต่างจากของมหาวิทยาลัยอื่นหลายด้าน ที่นำมาเล่าวันนี้คือการมีคณะกรรมการอำนวยการของหน่วยงานระดับคณะ/สถาบัน หรือที่เรียกว่าส่วนงาน คณะกรรมการอำนวยการนี้มีประธานเป็นอธิการบดี หรือรองอธิการบดี หรือกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่กำกับดูแลทิศทางและภาพใหญ่ของส่วนงาน รวมทั้งช่วยวางยุทธศาสตร์การพัฒนา
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ ผมร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีวาระปรับการดำเนินการของสถาบัน ซึ่งเมื่อจบการประชุมและผมกลับบ้านที่ปากเกร็ดแล้ว ผมก็อีเมล์ตั้งข้อสังเกตแก่ท่านประธานคณะกรรมการอำนวยการ (ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง) ท่านรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และท่าน ผอ. สถาบัน เรื่องการทำความเข้าใจกับนักวิจัยของสถาบันฯ ว่าสถาบันฯ มีหน้าที่ทำงานวิจัยโดยมีจุดเน้นที่ application หรือ discovery กันแน่ และเมื่อตกลงจุดเน้นกันแล้ว ก็ต้องหาทางพัฒนาทักษะในการตั้งโจทย์วิจัย และทำงานวิจัย ให้ตรงตามจุดเน้นของการทำงานวิจัย
เช้าวันเดียวกัน ในการประชุมสภามหาวิทยาลัย ผมต้องรายงานผลการประเมินผลงานของคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ท่านที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไป ด้วยเวลาที่จำกัดมาก ผมเสนอเพียงว่า ปัญหาที่คณะศึกษาศาสตร์หนักหน่วงเกินกว่าที่คณบดีท่านใหม่จะรับไหว ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย คือท่านอธิการบดีและทีมงานต้องเข้าไปช่วย โดยในเอกสารมีข้อเสนอวิธีเข้าไปช่วยไว้แล้ว
ผมคิดว่าโครงสร้างการทำงานของสภา มช. น่าจะมีผลดีต้อการลดโรคดื้อ (resistance) ต่อการเปลี่ยนแปลง
วิจารณ์ พานิช
๒ ม.ค. ๕๙
ไม่มีความเห็น