โครงการเพื่อการพัฒนานิสิตในรายวิชาการพัฒนานิสิตและรายวิชาภาวะผู้นำ คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับชุมชน เป็นการบริการสังคมในอีกมิติหนึ่งที่หมายถึง “การจัดกิจกรรมเรียนรู้คู่บริการแบบมีส่วนร่วมระหว่างนิสิตกับชุมชน” ซึ่งการมีส่วนร่วมก็หมายถึง เป็นโจทย์ร่วม (ความต้องการร่วม) ของนิสิตกับชุมชน เป็นการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมลงมือทำ
แน่นอนครับ-หลักการมีส่วนร่วม คือหัวใจสำคัญที่นิสิตต้องมองเป็น “ความท้าทาย” ถึงแม้จะเป็นเพียงวิชาศึกษาทั่วไปก็เถอะ แต่หลักการมีส่วนร่วมมันสามารถนำไปใช้กับทุกๆ องค์กร ทุกๆ วิถีอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ส่วนคำว่าชุมชนนั้น เราหยัดยืนชัดเจนมาตลอดว่า จะเป็นชุมชนในมหาวิทยาลัย หรือเป็นชุมชนที่หมายถึงหมู่บ้านภายนอกมหาวิทยาลัยฯ ก็ไม่ผิด
การมีส่วนร่วม : ฐานหลักของความต่อเนื่องที่ชุมชนจะขับเคลื่อนต่อยอดด้วยตนเอง
หลักการมีส่วนร่วม อาจมีศัพท์แสงหลายๆ คำเข้ามาเกี่ยวโยง เช่น กระบวนการมีส่วนร่วม (Participatory Learning Process) ที่หมายถึงการมีส่วนร่วมของนิสิตกับนิสิตและนิสิตกับชุมชนในลักษณะของการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง (learning by doing) ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นว่ากิจกรรมที่จะจัดขึ้นนั้น ตอบโจทย์ความต้องการของนิสิตและชุมชนอย่างไร เป็นการยัดเหยียดให้ชุมชน หรือเป็นความต้องการของชุมชนและพัฒนาความต้องการดังกล่าวให้สอดรับกับศักยภาพ หรือต้นทุนทางปัญญาที่นิสิตพึงช่วยเหลือสังคมได้
กรณีโจทย์ หรือความต้องการร่วมเช่นนี้ หลายๆ สำนักมักเรียกอย่างคุ้นหูว่า “สนธิโจทย์” ซึ่งหมายถึงจัดกิจกรรมบนความต้องการของ “ผู้ให้และผู้รับ” นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองส่วน ทั้งนิสิตและชุมชน
กรณีดังกล่าวจึงเป็นแนวโน้มที่จะช่วยให้งานสัมฤทธิ์ผล เกิดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต่อเนื่องในระดับชุมชน (ผู้รับ) ที่จะหยัดสู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านั้นต่อไปด้วยตนเอง เพราะมันคือความต้องการของชุมชน มิใช่นิสิต หรือมหาวิทยาลัยเสกสร้างให้โดยไม่ได้อยู่บนฐานความต้องการของชุมชน
ผศ.ดร.สมชาย แก้ววังชัย และผศ.ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา
ชุมชนคือห้องเรียน : ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้
เมื่อต้องขับเคลื่อนโครงการเพื่อการพัฒนานิสิต หรือกิจกรรมการเรียนชุมชน หลักคิดสำคัญในรายวิชาการพัฒนานิสิตและรายวิชาภาวะผู้นำก็คือการกระตุ้น หรือสร้างแรงจูงใจให้นิสิตเชื่อและศรัทธาว่า “ชุมชน คือ คลังความรู้” หรือ “ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้”
ในทางหลักการ ผมเคยได้สังเคราะห์องค์ความรู้เหล่านี้ไว้ร่วม 10 ปีว่าเมื่อต้องจัดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกับชุมชนควรคำนึงถึงหลักคิด 9 ข้อนี้ให้จงมาก นั่นคือ รู้ตัวตนโครงการ ทุกถิ่นฐานมีเรื่องเล่า เราไม่ใช่นักเสกสร้าง ทุกเส้นทางมีปัญหา คลังปัญญาชุมชน เราคือคนต้นแบบ อย่าแยกส่วนการเรียนรู้ หันกลับไปดูบ้านเกิด ก่อเกิดความรู้ใหม่
ยกตัวอย่างเช่น...
ประเด็นนี้จึงมีกลิ่นอายของการยืนยันว่าการจะลงมือทำสิ่งใด ย่อมควรต้องคำนึงถึงข้อมูล ฐานความรู้ มิใช่ออกแบบ จินตนาการและตัดสินใจอย่างไร้รากคิด ไม่คำนึงถึงบริบทชุมชน เพราะบริบทชุมชนนั่นแหละที่หมายถึงต้นทุนทางสังคม หรือสถานการณ์อันเป็นโจทย์ของชุมชนที่เป็นความท้าทายของการเรียนรู้คู่บริการ
เช่นนี้แล้วคำว่าคลังปัญญาชุมชน จึงเชื่อมร้อยยึดโยงสนิทแน่นอยู่กับวาทกรรม “บวร” ที่หมายถึง “บ้าน-วัด-โรงเรียน (ราชการ)” อย่างลงตัว ซึ่งวาทกรรม “บวร” ดังกล่าวนี้ ก็ผูกประสานกับหลักคิดทฤษฎีของ “การมีส่วนร่วม” อย่างลงตัว โดยนิสิตจะต้องไม่เผลอเลอที่จะเรียนรู้แบบแยกส่วนโดยไม่บูรณาการเข้าหากัน ไม่ใช่ว่าไปซ่อมแซมห้องสุขาในโรงเรียน แต่ไม่สนใจที่จะเข้าไปเรียนรู้ประเพณีและกิจกรรมที่มีขึ้นในวัดและหมู่บ้าน หรือการไม่กระตุกตุ้นให้ชาวบ้าน และภาคีอื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำกิจกรรมร่วมกัน
ที่สุดคือการกลับสู่การทบทวนตัวเอง
การจัดกิจกรรมเรียนรู้ชุมชนผ่านโครงการเพื่อการพัฒนานิสิต อาจเป็นกระบวนการบ่มเพาะจิตสาธารณะ (อาสาสมัคร) ฝึกภาวะผู้นำและผู้ตาม หรือทักษะอื่นๆ ทั้งที่เป็นความเป็นทีม ความเป็นประชาธิปไตย การวางแผน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การประสานชุมชน หรือกระทั่งการเรียนรู้ “สภาวการณ์ที่เป็นจริงของสังคม” ที่จะช่วยให้นิสิตได้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและชีวิต
แต่สำหรับผมแล้ว ในบรรดาทั้ง 9 ข้อ ผมมักเน้นย้ำถึงประเด็น 2 ประเด็นนี้ค่อนข้างมาก นั่นคือ
ที่สุดของที่สุดคือการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างกิจกรรมในหลักสูตรและนอกหลักสูตร
เหนือสิ่งอื่นใดผมแค่อยากจะยืนยันว่า กระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาการพัฒนานิสิตและภาวะผู้นำ ล้วนเป็นการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามหลักคิดของตนเองและทีม (ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง) ใช้ชุมชนเป็นห้องเรียน – เรียนรู้โดยการประยุกต์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างเป็นทีม เพื่อก่อให้เกิดทักษะชีวิตนานาประการ ฯ
ครับ-นี่คือบทสรุปหนึ่งของการเรียนรู้ในมิติของการบูรณาการการเรียนรู้ในหลักสูตร (curriculum) เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับ (extra activities) ในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” ตามครรลองของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือครรลองของขุนพลกิจกรรมนอกชั้นเรียน !
ครับ-นี่คือปรากฏการณ์หนึ่งของการเรียนรู้ในแบบ "กิจกรรมนิสิตนักศึกษา" ที่เชื่อมร้อยความเป็นนอกหลักสูตรและในหลักสูตรเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มีชีวิตชีวาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน
หมายเหตุ : ภาพโดยทีมกระบวนกรและนิสิตจิตอาสา
สวัสดีครับ อาจารย์พี่มะเดื่อ
เจตนาบันทึกนี้ก็เพื่อสรุปองค์รวมเนื้อหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นที่ตั้งครับ เป็นปะชระเด็นหลักคิดของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับชุมชน (เรียนรู้คู่บริการ) ซึ่งประเด็นนี้มีทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติ....
เพื่อเติมกระบวนการให้นิสิต-ผู้เรียน ก่อนลงปฏิบัติการเรียนรู้จริงในชุมชนผ่านกิจกรรม/โครงการ ครับ
สวัสดีครับ คุณเพชรน้ำหนึ่ง
ส่งใจและเป็นกำลังใจในการหันลังกลับสู่บ้านเกิด นะครับ...
ทางนี้ ก็กำลังเดินทางกลับสู่ประเด็นนั้นเช่นกัน -
สู้ๆ ครับ