เมื่อออกจากรีสอร์ท พ่อบ้านก็ขับรถพาทุกคนมุ่งหน้าสู่เส้นทาง
ที่ไปยังเส้นทางเขตรอยต่อระหว่าง ชุมพรกับประจวบฯ
และจุดแวะพักแห่งแรกก็คือ วัดแก้วประเสริฐ อันเป็นทางผ่าน
ที่จะเข้าสู่เขต อ.บางสะพานน้อย
เจ้าตัวน้อยกับน้องออมสินได้ลูกโป่งกับพระเครื่องจาก
" หลวงตาจง" ท่านเจ้าอาวาสวัดแก้วประเสริฐด้วย
ออกจากวัดแก้วประเสริฐ เราก็แวะชมหาดรายทาง เพราะหลายหาด
ได้แต่ผ่าน เช่น หาดเกาะเตียบ หาดถ้ำธง หาดบางเบิด
แต่ไม่ได้จอดรถลงไปเดินดู เพราะ สำหรับคนทะเลอย่างคุณมะเดื่อ
และลูก ๆ ก็จะเห็นว่า เป็นหาดทรายธรรมดา ๆ ไม่น่าสนใจอะไร
แต่สำหรับคนที่ห่างไกลจากทะเล...ที่เหล่านี้ก็มีอะไร ๆ น่าดูมากทีเดียว
จุดที่สองที่เราแวะพักคือ " หาดฝั่งแดง" ที่มากี่ครั้ง ๆ ก็ยังคง
เป็น " อมตะ" แห่งสีสันของธรรมชาติ
วันนี้ไม่มีสีส้มสดใสของว่านสี่ทิศ เพราะยังไม่ถึงฤดูกาลของมัน
ที่จะอวดช่อดอกประดับประดาไปทั่วบริเวณนี้ วันนี้จึงเห็นแต่
ต้นว่านสี่ทิศไปทั่วบริเวณ และสีสันหลากหลายของดอกไม้ป่า
มาแทนที่
เดินลงจากเนินสูงไปยังริมหาด บริเวณริมคลองที่เปิดออกสู่ทะเล
มีอาคารเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ซึ่ง " เคยใช้" เป็น " ธนาคารปู"
ปัจจุบันเป็นท่าเทียบเรือของชาวประมงในหมู่บ้าน ชาวบ้าน
จะวางอวนจับปู วันนี้ได้ปูม้าพอสมควร คุณมะเดื่อถามซื้อ
เขาบอกว่า " กิโลละ ๒๐๐ กว่า" แต่มีออเดอร์แล้ว ไม่แน่ใจว่า
จะพอให้ตามออเดอร์หรือเปล่า จึงขายให้คุณมะเดื่อไม่ได้
อดเลย...
หน้าผาหินศิลาแลงสีแดงอันเป็นที่มาของชื่อ " ฝั่งแดง" กับ
เศษซากหอยนานาชนิดที่ติดมากับอวนเก่า ๆ บนชายหาด
เที่ยงเศษ ๆ เราเดินทางไปยังบ้านเพื่อนเก่าที่นัดหมายกันเอาไว้
ที่บ้านหนองจันทร์หอม อ.บางสะพานน้อย ซึ่งเดิมทีนัดหมาย
กันไว้ว่าจะพา ลุงวอ มาพักค้างชมทะเลหมอกบนยอดเขาที่นี่
แต่ลุงวอติดเรื่องฝนตกหนักและน้ำเอ่อท่วมที่บ้าน จึงไม่สามารถ
ไปร่วมขบวนกับคุณมะเดื่อได้ จึงเปลี่ยนแผนไม่พักที่นี่
รอบ ๆ บ้านไม้ใต้ถุนสูงของเพื่อนยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติ
เหมือนทุกครั้งที่คุณมะเดื่อมาที่นี่
คุณมะเดื่อพาเจ้าตัวน้อยไปดูคนงานรีดยางพาราที่โรงรีดยาง
ไม่ไกลจากบ้านของเพื่อนนัก กลิ่นเหม็นของน้ำยาและกลิ่นยาง
ทำให้เจ้าตัวน้อยอ้วกซะหลายครั้งจึงต้องพากลับ
เพื่อนของคุณมะเดื่อเข้าครัวเตรียมอาหารเที่ยง เพื่อนคนนี้่
มีฝืมือในการทำอาหารได้อร่อยทีเดียว สมกับเป็นกุลสตรี
ไทย และเป็นแม่ศรีเรือน โดยแท้ทีเดียว
เรียกว่า คุณมะเดื่อเทียบไม่ติดฝุ่นน่ะแหละ
ระหว่างรอมื้อหลัก พวกเราก็เก็บผลหมากรากไม้ในสวนใกล้ ๆ
บ้าน อย่างส้มโอ เสาวรส กินกันไปพลาง ๆ ก่อน
อาหารเที่ยงบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน อิ่ม อร่อย ด้วยไมตรีจิต และ
มิตรภาพ เสมอเหมือนญาติพี่น้อง แบบ " วิถีไทย" เป็นกันเอง
มีชีวิต่ชีวา และอบอุ่น จริง ๆ
บ่ายสองโมงเศษ ๆ พวกเราจึงอำลาเพื่อนเจ้าของบ้าน
กลับสู่เมืองกุยบุรี พร้อมกับหวังว่าในวันหน้า
(ไม่ทราบว่าเมื่อไร) คงได้พบกันอีก
เป็นอันว่าสิ้นสุดรายการ " สองวัน…สบาย ๆ
กับครอบครัวของคุณมะเดื่อ "
จีจ้อเพิ่งเดินทางกลับเมืองตากในเช้าวันนี้
และยังไม่ทราบว่าจะได้มาเมืองกุยอีกเมื่อไร
สวยงาม ตามธรรมชาติแท้ๆ แบบบริสุทธิ์นะครับครู ผมชอบผักบุ้งจัง เห็นตอนเด็กตามท้องนา นี่น่าจะเป็นผักบุ้งทะเลไหม คงกินไม่ได้ใช่ไหมครับ
น่าแต่งกลอนบรรยายใส่จังครับ
สวัสดีจ้ะท่านอาจารย์ ส. ใช่จ้ะเป็นดอกผักบุ้งทะเล
ไม่เคยได้ยินว่ารับประทานแบบผักบุ้งนาได้นะจ๊ะ แต่ที่ทราบคือ
เป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้ใบของมันบรรเทาอาการปวดจากพิษของหอยเม่น
เงี่ยงปลาดุก ปลากดทะเล และพวกแมงกระพรุน น่ะจ้ะ
ชาวทะเลจะทราบกันดี
ท่านอาจารย์ ส.ช่วยร่ายลำนำกลอนประกอบภาพให้
ด้วยสิจ๊ะ คุณมะเดื่อสมองตัน แล้วจ้าา ขอบคุณจ้ะ
สวัสดียายธีที่รัก เสียดายที่ยายธี กับลุงวอ และอีกหลาย ๆ คน
ไม่ได้ไปด้วยกัน แต่ โอกาสหน้ายังมีนะจ๊ะ ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน
หอยเต้าปูนนะคะพี่ พิษแรงทีเดียว แทงตายค่ะ
สวัสดีน้องอาจารย์จัน หอยเต้าปูน ... ตัวไหนหรือจ๊ะ
ไม่รู้จักจ้ะ แต่ก็เคยได้ยินชื่ออยู่ ไม่รู้ว่ามีพิษร้ายแรง
คนที่เขาเลือกปูอยู่ เขาบอกว่าในตะกร้านี้ เอาไปกินจ้ะ
ก็แสดงว่า หอยเต้าปูนก็กินได้ด้วยสิจ๊ะ ขอบคุณสำหรับ
กำลังใจจ้ะ
ขอบคุณน้องอาจารย์จัน ที่มาให้ความรู้ เรื่องหอยเต้าปูน เป็นประโยชน์มาก ๆ จ้ะ
คุณมะเดื่อเชื่อว่า ชาวประมงส่วนใหญ่คงทราบดี และมีวิธีที่จะ
จัดการกับเข็มพิษของมันก่อนที่จะนำไปรับประทานนะจ๊ะ
ไว้ครูนกจะหาโอกาสไปเยี่ยมนะคะ
หวัดดีครูนกที่คิดถึง ดีใจจังเลย ที่ครูนกแวะมาทักทาย
ดีใจ ๆ ๆๆๆๆๆ จะรอวันที่ครูนกจะไปเมืองสามอ่าวทุกวันเลยจ้าา
ขอบคุณที่ยังระลึกถึงกันนะจ๊ะ
เห็นเสาวรสแล้วน้ำลายสอ เลยค่ะ