บันทึกชุด "เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง" ๒๖ ตอน ชุดนี้ ตีความจากหนังสือ Transformative Learning in Practice : Insight from Community, Workplace, and Higher Education เขียนโดย Jack Mezirow, Edward W. Taylor and Associates ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2009
ตอนที่ ๘ นี้ ได้จากการตีความบทที่ 7 Mentoring เขียนโดย Alan Mandell (ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาผู้ใหญ่และ mentoring ณ State University of New York, Empire State College), และ Lee Herman (ทำหน้าที่เป็น mentor ที่ State University of New York, Empire State College)
สรุปได้ว่า ในการศึกษาผู้ใหญ่แบบสมัยใหม่ ครู/อาจารย์ ไม่ทำตัวเป็นผู้สอน แต่ทำตัวเป็น "พี่เลี้ยง" (mentor) เรียนรู้ไปด้วยกันกับนักศึกษา ยึดความต้องการของนักศึกษาเป็นหลัก โดยต้องเคารพ ต่อประสบการณ์ชีวิต และความคิดความเชื่อของนักศึกษา นำมาร่วมกันตั้งคำถาม เพื่อสะกิดใจนักศึกษา ไปสู่การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง
บทนี้ว่าด้วยเรื่องการศึกษาผู้ใหญ่ ที่นักศึกษาเป็นคนที่ทำงานแล้ว มีประสบการณ์ชีวิต หรือความรู้ที่มาจากการทำมาหากิน การดำรงชีวิต ซึ่งเป็นความรู้เชิงวัฒนธรรม สำหรับใช้เป็นพื้นความรู้เดิม นำมาต่อยอดความรู้ใหม่ในมหาวิทยาลัย
ในการศึกษาสมัยใหม่ ครู/อาจารย์ไม่สอน แต่ทำหน้าที่อำนวยการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์ สำหรับการศึกษาผู้ใหญ่ อาจารย์ยิ่งไม่สอน แต่ทำหน้าที่ "พี่เลี้ยง" (mentor) ร่วมเดินทางแห่งการเรียนรู้ ไปด้วยกันกับนักศึกษา ที่เรียกว่า mentee โดย mentor แสดงบทบาท facilitator และ provocateur
ผู้เขียนได้ระบุหลักการสำคัญ ในเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ไว้อย่างน่าฟังมาก ได้แก่
หลักการทำหน้าที่พี่เลี้ยง
mentoring หมายถึงการที่อาจารย์ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา เป็นการเข้าสู่กิจกรรมสานเสวนา (dialogue) กัน เน้นคำถามและเป้าหมายที่มาจากนักศึกษา โดยมีหลักการชุดหนึ่ง ได้แก่
ตัวอย่างของ mentoring
เคธี : เบนระบบ
เคธีเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายที่เหลือผ่านวิชาเดียวก็จะจบ อนาคตของเธอแขวนอยู่ กับการเรียนจบหรือไม่จบวิชาประวัติศาสตร์ขั้นสูงเกี่ยวกับการปฏิรูปศาสนา (คริสต์) ที่เธอไม่มีพื้นความรู้ ยิ่งเรียนยิ่งสับสน และผลการเรียนต่ำ มีแนวโน้มว่าจะสอบไม่ผ่าน
mentor ผู้เล่า บอกว่าการลงทะเบียนเรียนวิชานี้เป็นความผิดพลาดของ เคธี และเกิดจากความ ไม่เอาใจใส่ของอาจารย์ที่ปรึกษา ทำให้ผมได้ตระหนักว่า ในการศึกษาผู้ใหญ่เขาถืออาจารย์ผู้สอนเป็น mentor ไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์พี่เลี้ยงถามว่า ในวิชาประวัติศาสตร์การปฏิรูปศาสนา มีส่วนไหนที่กระตุกความสนใจบ้าง เธอตอบว่า มาร์ติน ลูเธอร์ เรื่องราวความกล้าหาญในการกล้าเสี่ยงดำเนินการเปลี่ยนแปลงศาสนาของมาร์ติน ลูเธอร์ ทำให้เธอหวนกลับไปคิดถึงความพยายามต่อสู้เพื่อพัฒนาระบบพัฒนากำลังคนภายในบริษัทของเธอ
การเสวนาดำเนินไปจนเคธีเห็นโอกาสรับโจทย์ชิ้นงาน อธิบายปรากฏการณ์ปฏิรูปศาสนา จากมุมมองด้านการเมืองภายในองค์กร ที่หากเธอทำผลงานได้ดี ก็ช่วยให้สอบผ่านได้
บาบาร่า : เชื่อมโยงวิชาเข้ากับชีวิตส่วนตัว
ในวิชา independent study ว่าด้วยชนชั้นทางสังคมในสหรัฐอเมริกา อาจารย์พี่เลี้ยงรู้เพียงว่า เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกชาย ๒ คน และกำลังลิงโลดที่จะได้รับปริญญา
บาบาร่าเขียนเรียงความใจความจากหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้สองเล่ม ในการสนทนาทางโทรศัพท์ อาจารย์พี่เลี้ยงขอให้เธอขยายความประโยคที่เธอเขียนว่า "ผู้ที่การคุ้มครองสุขภาพหดเข้าไปอยู่แค่ห้องฉุกเฉิน" ว่ามีคนอยู่ในสภาพนี้จำนวนเท่าไร เป็นสภาพที่ไม่ปกติเพียงไร
มีผลให้บาบาร่าเล่าเรื่องส่วนตัว ที่ไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพให้แก่ตนเองและลูกชายทั้งสอง เพราะคิดว่าทั้งสามคนสุขภาพดี คงจะไม่ป่วย และตนเองมีรายได้ไม่มาก ใช้เงินเบี้ยประกันพาลูก ไปกินอาหารนอกบ้านเดือนละสองสามครั้งจะดีกว่า
อาจารย์พี่เลี้ยงจึงได้โอกาสแนะนำให้นำเรื่องชีวิตของตนเอง มาเป็นประเด็นเรียนรู้เชิงวิชาการ
บิลล์ การประเมินผลการเรียนต่อชีวิต
บิลล์เป็นคนระดับวิชาชีพ อายุกลางคน ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องการให้ชีวิต มีความสุขมากขึ้น และเชื่อว่าการเรียนวรรณกรรมคลาสสิกจะช่วยได้ จึงเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
นี่คือเรื่องราวความท้าทายต่ออาจารย์พี่เลี้ยง ว่าจะวัดผลการเรียนอย่างไร เพื่อให้ปริญญา โดยที่นักศึกษาระบุชัดเจนว่าเป้าหมายของตนคือมีความสุขในชีวิตมากขึ้น และเข้าใจดีว่าการมาเรียนนี้ เป็นกิจกรรมวิชาการ ไม่ใช่การเยียวยา ไม่ใช่กระบวนการทางศาสนา หรือทางจิตวิญญาณ
ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้คลี่คลายไปอย่างไร แค่บอกว่าความท้าทายต่ออาจารย์พี่เลี้ยง ในการศึกษาผู้ใหญ่แบบนี้ก็มีด้วย
คาร์ล : ความแตกต่างหลากหลายของหลักสูตร
คาร์ล เคยเรียนมาแล้ว ๓ มหาวิทยาลัย (แต่ไม่ได้ปริญญา) ในสาขา เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และมีประสบการณ์ทำงาน ๑๐ ปีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยทำงานด้านซอฟท์แวร์ และฐานข้อมูล
เขาสนใจเรียนความเชื่อมโยงระหว่าง อินเทอร์เน็ตกับความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (empathy) ซึ่งเป็นศาสตร์ด้าน Humanistic Psychology และแสดงความกระตือรือร้นอย่างมาก แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และท้าทายว่าจะทำหน้าที่อาจารย์พี่เลี้ยงให้แก่คนแบบนี้อย่างไร
ไตร่ตรองสะท้อนคิด
ผู้เขียนสะท้อนคิดเรื่องราวของกรณีตัวอย่างทั้ง ๔ คน และสรุปว่า ชีวิตจริงของ mentoring นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกวิชาการ คือ transformation of learning ที่ผู้กำหนดกรอบและกติกา ของการเรียนรู้ไม่ใช่ผูกขาดโดยสถาบันอีกต่อไป ผู้เรียนต้องมีบทบาทสำคัญด้วย
และการเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งคือ ผู้เรียนไม่ใช่เรียนเพื่อสนองข้อกำหนดในหลักสูตรเป็นหลัก แต่เพื่อสนองความอยากรู้และความต้องการในชีวิตของตนเป็นหลัก
อ่านหนังสือบทนี้แล้ว ผมยังไม่จุใจต่อเรื่อง mentoring โดยเฉพาะต่อตัวอย่าง ๔ ตัวอย่างที่ยกมา ที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์สั้นๆ เฉพาะตอนเท่านั้น ผมเชื่อว่า mentoring เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ยาวกว่านั้น อย่างน้อยก็ตลอดรายวิชา ซึ่งผู้เขียนบอกตั้งแต่ต้นว่าเขาหลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องให้ตลอด เพราะจะนำไปสู่ผลที่ชัดเจน ที่จะชักจูงผู้อ่านว่าวิธีการ mentoring มีวิธีที่ผู้เขียนใช้วิธีเดียว เขาต้องการเน้นหลักการทั้ง ๖ ข้อของ mentoring ที่ระบุไว้ข้างบน
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ธ.ค. ๕๗
ไม่มีความเห็น