เก็บตก จากการสัมนา "การศึกษาเพื่อความเป็นไท(ย)


เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานเสวนา การศึกษาไทยในมุมกลับ เรื่อง "การศึกษาเพื่อความเป็นไท(ย)" ณ ห้อง EB 4509 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ศ.เกียรติคุณ สายชล สัตยานุรักษ์ ภาคประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในหัวข้อ "การศึกษากับการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทย" ว่า การศึกษาของไทยที่ผ่านมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของรัฐไทยในการตกแต่งนิสัยใจคอของคนในชาติ เพราะการตกแต่งนิสัยใจคอของคนในชาติจะทำให้การปกครองเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่น ไม่ต้องใช้ความรุนแรง และเมื่อคนในรัฐผ่านการตกแต่งนิสัยใจคอผ่านการศึกษา ก็จะมีพฤติกรรมเหมาะสมตามที่รัฐต้องการ เช่น ทำตามรัฐนิยมของจอมพลป. หรือทำตามค่านิยม 12 ประการของรัฐทหารในปัจจุบัน

"คนที่ถูกตกแต่งนิสัยใจคอแล้วจะมีความรู้สึกนึกคิดในกรอบที่รัฐกำหนด จะคิดเองไม่เป็น จะมองความจริง ความดี ความงามแบบที่รัฐสอนให้มอง จะอธิบายปัญหาและมองเห็นทางเลือกการแก้ไขปัญหาในแบบที่รัฐต้องการ"

อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาทำให้รัฐสามารถทำการปกครองความรู้สึกนึกคิดของคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือสามารถบงการคนได้โดยไม่ต้องใช้กำลังบังคับ ซึ่ง มิเชลฟูโก เรียกว่า "governmentality" อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวาแปลว่า "การปกครองชีวญาน" อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ แปลว่า "การปกครองหัวใจ" หากดูจากคำภาษาไทยจะเห็นว่า มันทำให้เราทำสิ่งต่างๆ จากภายใน จากความรู้สึกนึกคิด จากจิตใจของเราที่อยากจะทำ เพราะว่าเราถูกหล่อหลอมกล่อมเกลา ถูกตกแต่งนิสัยใจคอให้เชื่อในสิ่งที่รัฐอยากให้เราเชื่อ คิดอย่างที่รัฐอยากให้เราคิด

เราจะเห็นได้ว่าการศึกษาสมัยใหม่ของไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา จะมีบทบาทสูงมากในการตกแต่งนิสัยใจคอของคนไทย โดยปลูกฝังความรู้และความจริงเกี่ยวกับ "ความเป็นไทย"

คงทราบกันมาบ้างแล้วว่าความเป็นไทยไม่ใช่มรดกทางวัฒนธรรมจากสมัยโบราณที่ตกทอดมาถึงเราอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะรัฐโบราณมีหลากหลายชาติพันธุ์ และไม่ได้พยายามทำให้ชาติพันธ์ุเหล่านั้นเป็นไทย แต่ใช้ชุมชนชาติพันธุ์เป็นฐานในการปกครอง "อาณาประชาราษฎร" ทั้งในระบบไพร่และนอกระบบไพร่ เช่น ถ้าเป็นชาติพันธ์ุมอญจะอยู่ในระบบไพร่ที่มีมูลนายเป็นมอญ เป็นต้น ดังนั้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 จึงไม่มีการเน้นความเป็นไทย เพราะรัฐก่อนหน้านั้นเป็นรัฐราชาธิราชที่อำนาจกระจายไปในมือของผู้นำตระกูลท้องถิ่นในหัวเมืองต่างๆ จึงไม่ต้องสร้างสำนึก ความเป็นชาติไทยที่มีเอกราชบนรากฐานของความเป็นไทย

จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเริ่มมีการเกิดสำนึกแบบรวมศูนย์อำนาจและสำนึกเรื่องชาติไทยที่มีเอกภาพ แต่ก็ยังไม่ได้มีการสร้างชาติไทยและความเป็นไทยแบบมีรายละเอียดชัดเจน เพราะยังไม่เกิดรัฐที่รวมศูนย์อำนาจจริงๆ จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการปฏิรูปการปกครอง เกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาแล้วถึงมีความจำเป็นต้องสร้างความหมายชาติไทยและความเป็นไทยอย่างจริงจังเต็มที่

ความหมายของชาติไทยและความเป็นไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา แต่สุดท้ายก็มีการผลิตซ้ำความหมายของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงทำให้ความหมายชาติไทย ความเป็นไทยที่ถูกสร้างในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีพลังอย่างสูงสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ชาติไทยและความเป็นไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา หมายถึงชาติ ที่คนในชาติมีความเป็น "ไทย" คนที่มีความเป็นไทย คือคนที่รับสิ่งที่ชนชั้นนำเลือกสรรมาให้ เช่น การปกครองแบบไทย ซึ่งรัชกาลที่ 5 ให้ความหมายว่า การเอาพระราชดำริเป็นประมาณ เอาพระราชโองการเป็นหลักในการปกครอง แล้วสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาให้ความหมายที่ชัดขึ้นว่า การปกครองแบบไทย คือการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พ่อมีอำนาจเหนือลูก ความคิดของพ่อจะใช้เป็นหลักในการปกครอง ฉะนั้น ผู้นำในการปกครองแบบไทย คือ พระมหากษัตริย์ที่เป็น "พระปิยมหาราช" เป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประชาชนเพื่อประชาชน เป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนรัก

สำหรับพระพุทธศาสนาแบบไทยก็จะถูกสร้างความหมายให้เป็นแนวความคิดแบบหนึ่งที่จะตอบสนองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความมั่นคงชาติไทย สิ่งที่ถูกเน้นในการสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาทั้งหลายสมัยร.5 เป็นต้นมา คือ คุณธรรมไทย ศีลธรรมไทย

อีกอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องหมายของความเป็นไทยที่ถูกเน้นอย่างมาก คือ ภาษาไทย ศิลปะไทย มารยาทไทย ฯลฯ ภาษาไทยเป็นสิ่งที่ถูกใช้เพื่อสอนในโรงเรียนรวมทั้งในการสอนพระปริยัติธรรมตามวัดต่างๆด้วย

ตัวอย่างที่เราเห็นมากที่สุด คือ การปลูกฝังความรู้ และความจริง เกี่ยวกับอดีตของชาติไทย หรือประวัติศาสตร์ไทย ให้คนไทยได้จินตนาการถึงชาติไทยที่เป็นชาติเก่าแก่ ยิ่งใหญ่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณ เพราะว่ามีผู้นำที่ปรีชาสามารถ เราจึงจะได้เรียนเรื่อง พ่อขุนรามคำแหง พระเจ้าอู่ทอง พระนารายณ์ สมเด็จพระนเรศวร เรื่อยมาจนถึงผู้นำในยุคหลังๆ ว่าได้นำพาชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองรักษาเอกราชไว้ได้

"คนไทยที่ถูกปลูกฝังความรู้ผ่านประวัติศาสตร์แบบนี้ก็จะให้ความสำคัญอย่างสูงแก่ผู้นำ เกิดความรักชาติ เห็นว่าชาติหรือเอกราชของชาติสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง และก็พร้อมที่จะเสียสละเพื่อชาติแบบเดียวกับพระศรีสุริโยทัย พระนเรศวร บางระจัน ท้าวสุรนารี แต่จะไม่ได้นึกถึงชาติในแง่ของประชาชน"

ศ.สายชล กล่าวอีกว่า การศึกษายังถูกใช้เพื่อปลูกฝังความดีที่คนไทยควรยึดถือ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นความดีแบบพุทธศาสนาโดยอาจจะเรียกว่า "คุณธรรมไทย" "ศีลธรรมไทย" "ค่านิยม 12 ประการของไทย" "จริยธรรมไทย" ที่ทำให้เห็นว่าความดีดังกล่าวเป็นธรรมะทางพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาประจำชาติ เช่น การทำหน้าที่ ความสามัคคี การเสียสละ การเชื่อฟัง ความกตัญญูกตเวที ฯลฯ การศึกษาของเราจะไม่ค่อยปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมในระบอบประชาธิปไตย เช่น สิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค

สำหรับความงามที่ถ่ายทอดปลูกฝังผู้เรียนผ่านการศึกษามีมากมาย เช่น ศิลปะไทยแขนงต่างๆ การร้อยดอกไม้ มารยาทไทย การกราบ การไหว้ การรู้ที่ต่ำที่สูง การแต่งกายแบบไทย อันนี้เป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาของเราปลูกฝัง

การเรียนภาษาไทยและวรรณคดีไทยจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ อาจเรียกได้ว่าควบคู่กับประวัติศาสตร์ไทย คือจะถูกใช้เพื่อปลูกฝังความเป็นไทยในทุกด้าน การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องจะถูกเน้นมากที่สุด เพราะว่าถ้าเราใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องแล้ว จะหมายถึงการยอมรับระบบความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ผู้น้อย การรู้ที่ต่ำที่สูง ลองพิจารณาถึงคำราชาศัพท์จะทำให้เรารู้เลยว่า ใครที่เราจะเรียกท่านว่า ฝ่าพระบาท ฯพณฯท่าน คุณ ฯลฯ หรือหากลองพิจารณาคำว่า "กิน" ก็จะมีการใช้คำหลายประเภท เช่น ทาน รับประทาน เสวย ฉัน ซึ่งใช้โอกาสแตกต่างกันไปตามสถานะ เมื่อเราเรียนวรรณคดีไทย เราก็จะถูกสอนว่า ถ้าขึ้นต้นด้วยเมื่อนั้น หมายถึงว่ากำลังบรรยายถึงกษัตริย์ ถ้าเป็นบัดนั้นกำลังบรรยายถึงขุนนาง ฯลฯ ความซาบซึ้งในวรรณคดีไทยก็จะหมายถึงความชื่นชมในระบบคุณค่า ความดี และความงามที่วรรณคดีมอบให้ เช่น ความงามอย่างประณีตอ่อนช้อย คนที่ครอบครองสิ่งของที่งามอย่างประณีตอ่อนช้อยจะไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่จะหมายถึงชนชั้นสูงที่ประณีตอ่อนช้อยมาก เพราะฉะนั้นความงามความดีแบบนี้จะทำให้เรายอมรับการแบ่งชั้นทางสังคม โดยที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องดีงาม คนที่ไหว้สวย กราบเป็น มารยาทไทยงาม คือ คนที่ยอมรับการแบ่งชั้นทางสังคมอย่างไม่ตั้งคำถาม

"การศึกษาที่ปลูกฝังความเป็นไทยทั้งหลายล้วนแต่ทำให้เกิดการยอมรับสังคมที่แบ่งคนออกเป็นลำดับชั้นและยังหมายรวมไปถึงการยอมรับโครงสร้างที่รวมศูนย์อำนาจ คือ ถ้าไม่แบ่งคนออกเป็นลำดับชั้นก็จะไม่มีใครที่มีสถานะพิเศษที่มีอำนาจเหนือคนอื่น แต่ถ้ายอมรับการแบ่งคนเป็นลำดับชั้น เราก็จะยอมรับให้คนบางคนเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด ยอมรับให้กับคนที่เป็นข้าราชการหรือตุลาการที่มีสถานะสูงกว่าเรา"

"ประวัติศาสตร์ไทยทำให้เราเชื่อในความสำคัญของผู้นำ และก็เป็นผู้นำแบบไทย เราเชื่อในการปกครองของผู้นำที่มีอำนาจเข้มแข็งเด็ดขาด เราจะไม่ค่อยอยากให้มีการเมืองในสังคมไทย เราอยากให้มีผู้นำเก่งๆเป็นคนดี มีความเมตตาเอื้ออาทร แม้แต่คนเสื้อแดงก็ยังยอมรับสโลแกนทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เราให้ความสำคัญเยอะมากจนไม่ค่อยเห็นถึงความสำคัญภาคสังคม"

หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมไทยทำให้เราไม่นึกถึงสิทธิของเราที่จะไปจำกัดตรวจสอบการปกครอง เราจะไม่ยอมรับคนที่ออกไปทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ของตนเอง เช่น นักเรียนนักศึกษามีหน้าที่เรียนก็เรียนไปไม่ควรจะไปยุ่งกับการเมือง

การศึกษาที่ผ่านมามุ่งให้คนไทยคิดในกรอบ ไม่สอนให้คิดนอกกรอบ คนที่คิดในกรอบจะได้คะแนนมาก จึงทำให้เราคิดเองไม่เป็น ขาดทัศนะวิพากษ์ มีวิธีคิดแบบเดียว ทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ จากวิธีคิดแบบเดียว การศึกษาไม่เอื้อให้เรามีวิธีคิดแบบอื่นนอกเหนือจากวิธีคิดที่อยู่ในกรอบของความเป็นไทย

"เราสอนให้ท่องจำประวัติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของผู้นำ ท่องจำกฎเกณฑ์ของภาษาไทย ท่องจำชื่อตัวละคร เราจึงขาดจินตนาการ ขาดความสามารถที่จะคิดแบบเชื่อมโยง ซึ่งเมื่อมาประกอบกับทุนนิยมที่ทำให้เราประกอบอาชีพแบบแบ่งงานกันทำแล้ว เราก็ถูกจัดระบบการศึกษาให้เราเรียนความรู้แบบแยกเป็นส่วนๆ เช่น บางคนเรียนภาษาไทย บางคนเรียนวิทยาศาสตร์(ซึ่งแบ่งย่อยลงไปอีก) บางคนเรียนหมอก็จะเชียวชาญเป็นเรื่องๆ ไป ซึ่งมันก็จะทำให้เรารู้แต่เรื่องที่เราเรียนมาโดยตรง ไม่ค่อยรู้หรือสนใจเรื่องอื่นๆ เราจึงเชื่อมโยงความรู้ไม่เก่ง พอมีปัญหาในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราโดยตรงเราก็จะไม่เข้าใจมัน แก้ปัญหาไม่ได้ จึงเห็นปรากฏการณ์ที่คนไปพึ่งหมอดูหรือลัทธิพิธีต่างๆ เพื่อทำให้เกิดการสบายใจขึ้น"

การอธิบายเรื่องต่างๆ ของคนไทยจะอยู่ในกรอบของความเป็นไทยมากๆ เช่น ถ้าเรามีปัญหาสังคมขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น ปัญหาท้องก่อนแต่ง หรือปัญหาอะไรก็ตามเราก็จะอธิบายปัญหาง่ายๆว่าเป็นเพราะเราละทิ้งวัฒนธรรมไทย หันไปรับวัฒนธรรมต่างชาติ เราก็เลยมีปัญหา เรามักจะอธิบายปัญหาเชิงศีลธรรม ไม่ค่อยมองปัญหาเชิงระบบหรือโครงสร้าง เช่น ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและคอรัปชั่นก็จะอธิบายสาเหตุว่ามาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหายาเสพติดก็ถูกอธิบายว่าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่จึงทำให้ลูกติดยาเสพติด ปัญหาความจนก็จะถูกอธิบายว่าจนเพราะขี้เกียจ ไม่มีความเพียร เป็นต้น โดยเชื่อว่าถ้ายึดมั่นในศีลธรรมของพระพุทธศาสนาแล้วปัญหาจะไม่เกิด จึงทำให้เราไม่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาชีวิตและปัญหาทางสังคม และนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองด้วย เพราะว่าความเป็นไทยแบบที่เราเน้น มันทำให้เรายอมรับความไม่เสมอภาคและความไม่เป็นประชาธิปไตย การเน้นผู้นำก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยต้องให้ความสำคัญกับ "มติมหาชน" จริงๆ อำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน ผู้นำจะทำอะไรจะต้องเกิดจากความอยากให้ทำของประชาชน

"เราจะเห็นเรื่องการแบ่งชั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องที่ถูกต้องดีงาม เพราะฉะนั้นจึงเกิดความเหลื่อมล้ำในอำนาจและทรัพย์สินสูงและเป็นรากฐานของความขัดแย้งและความรุนแรง"

เราอยู่กับ "ความเป็นไทย" ที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำมาเป็น 100 ปี ซึ่งสังคมไทยในปัจจุบันกับสมัยก่อนนั้นแตกต่างกันมาก เราอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ต หรือบางคนเรียกสังคมปัจจุบันว่าเป็นหมู่บ้านโลก เราจะอยู่ในสังคมปัจจุบันอย่างไร ข้อเสนออันหนึ่ง คือ การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเป็นไท ที่ไม่มี "ย" เราควรเสริมสร้างความอิสระ ซึ่งจะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่อเรามีจารีตทางความคิด ความรู้แบบใหม่ที่คนไทยจะมีวิถีชีวิตแบบปัญญานิยมบนฐานของความรู้แบบปลดปล่อย ปลดปล่อยให้หลุดจากความรู้ครอบงำแบบเดิม เพื่อให้เรามีศักยภาพที่จะมองปัญหาหรือปรากฏการณ์ต่างๆจากหลายมุมมอง เราควรเรียนรู้จากมุมมองหลายแบบ แล้วมีทัศนะวิพากษ์บนฐานของความรู้ที่กว้างขวางหลากหลาย เราควรจะถูกฝึกให้เชื่อมโยงความรู้ได้เก่ง ถูกฝึกให้คิดเองเป็นไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ

นอกจากวัฒนธรรมทางความรู้ที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว วัฒนธรรมทางจิตใจของเราก็ควรจะเปลี่ยนด้วย จิตใจแบบเดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ปลูกฝัง "ความเป็นไทย" ให้เรา ทำให้เราเชื่อฟัง รู้ที่ต่ำที่สูง รักพวกพ้องอย่างไม่คำนึงถึงเหตุผล เราควรมีวัฒนธรรมทางจิตใจแบบใหม่ที่ระบบการศึกษาควรหาทางสร้างขึ้นมา คือ มีจิตสาธารณะทำอะไรก็นึกถึงผลประโยชน์ที่จะตกแก่คนอื่นมากกว่าตนเอง นึกถึงผลเสียที่จะตกแก่คนอื่นตกแก่สังคมส่วนรวมมากกว่าแก่ตัวเรา เราควรจะเสริมสร้างความรู้สึกรักความเป็นธรรม เป็นคนใจกว้างมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ยึดมั่นในอารยะวิถีและสันติวิธี สามารถอยู่ร่วมกับคนที่แตกต่างหลากหลายอย่างสงบสันติ

การศึกษาควรทำให้เราสำนึกในสิทธิและหน้าที่ในความหมายใหม่ เช่น สิทธิและหน้าที่ที่จะแสวงหาความรู้แบบปลดปล่อย และความรู้ที่กว้างขวางหลากหลายจากมุมมองที่แตกต่างเพื่อให้พลเมืองไทยสามารถใช้สิทธิและหน้าที่ต่อส่วนร่วมอย่างฉลาดและสร้างสรรค์ ร่วมถึงสิทธิและหน้าที่ในการกำกับตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ทุน และสื่อ คือมันไม่ใช่แค่สิทธิการเลือกตั้งอย่างเดียว ก่อนจะหย่อนบัตรต้องมีความรู้มากพอที่ว่าเมื่อเลือกพรรคนี้จะมีผลกระทบต่อส่วนรวมอย่างไร ผลระยะสั้นเป็นอย่างไร ผลระยะยาวเป็นอย่างไร ฉะนั้นสิทธิและหน้าที่แบบใหม่จึงอยู่บนฐานของความรู้ด้วย แล้วไม่ได้เน้นแต่เฉพาะรัฐเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงทุนและสื่อมวลชนด้วย

"เรื่องของทุนเราเข้าใจมันน้อยเนื่องจากการศึกษาที่ได้รับมา เราไม่ค่อยตระหนักในปัญหาที่เกิดจากทุน เช่น ปัญหาหมอกควัน เราจะรู้ไหมว่า เกษตรพันธะสัญญามีส่วนทำให้คนเผาเพิ่มมากขึ้นมากแค่ไหน จนทำให้หมอกควันกระจายกระทบต่อเรามากน้อยแค่ไหน"

ประเด็นสุดท้าย การศึกษาควรเสริมสร้างคนไทยให้เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าจะเรียนแต่มนุษยศาสตร์ที่แยกเป็นวรรคดี ภาษาไทย หรือเป็นวิชา ก็พอแล้ว แต่การเรียนวิชาอะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นสังคมศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ หรืออะไรก็ตาม ควรจะมีมิติของมนุษยศาสตร์อยู่ในนั้น เพื่อจะได้เข้าใจมิติของความเป็นมนุษย์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับศาสตร์ที่ตัวเองเรียน เพื่อจะเห็นและเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตระหนักในความเท่าเทียมกันที่ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งมันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนความหมายความเป็นไทยหรือวัฒนธรรมความเป็นไทยที่มีความเสมอภาค และทำให้เราปฏิเสธการใช้ความรุนแรง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะทำได้อย่างไร ขอยกตัวอย่างเรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งควรจะทำให้ผู้เรียนเห็นว่าความรู้ หรือความจริงเกี่ยวกับอดีตมองได้หลายแบบ มองแบบมาร์กซิสต์ก็ได้ มองแบบ Subaltern (มองในมุมกลุ่มคนด้านล่าง)ก็ได้ มองแบบโพสต์โมเดิร์นก็ได้ มองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับบริบท ฯลฯ เราต้องฝึกฝนให้นักเรียนมองต่างมุมได้เก่งซึ่งจะทำให้เราเข้าใจคนที่คิดต่างได้มากขึ้นด้วย

ภาษาและวรรณคดีไทยนอกจากจะสอนการใช้ภาษาที่ถูกต้องแล้วก็ควรจะทำความเข้าใจวัฒนธรรมที่เป็นรากฐานภาษา และควรจะทำให้เห็นความหมายทางการเมืองของภาษาของวรรณคดีด้วย อย่างเช่น คำว่า "กรรมกร" ทำไมถึงไม่ถูกใช้ในการจัดงานวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี แต่ใช้คำว่า "แรงงาน" แทน หรือทำไมจึงเลือกใช้คำว่า "มลภาวะ" แทนที่จะใช้คำว่า "มลพิษ" ซึ่งทั้งสองคำจะเห็นได้ว่า รัฐจงใจใช้คำที่ดูเบากว่า เพื่อให้เกิดความสบายใจหรือไม่ดูพุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่ได้ประโยชน์

สำหรับวรรณคดี เราควรจะทำให้เด็กเห็นว่าทำไมรามเกียรติ์ถึงสำคัญมากในวัฒนธรรมไทย ทำไมวันทองสองใจ แล้วผิดมากขนาดนั้นหรือไม่ แล้วสองใจในบริบทของวันทองน่าเห็นอกเห็นใจหรือน่าลงโทษกันแน่ ทำไมสุนทรภู่แต่งให้สินสมุทรมีเมียหลายชาติภาษาโดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าอายอะไร ทำไมบทอัศจรรย์ของชนชั้นสูงกับชาวบ้านนั้นต่างกัน ทำไมคนไทยนำเรื่องสามก๊กมาแต่งซ้ำหลายครั้ง ทำไมกุหลาบสายประดิษฐ์ให้คุณหญิงกีรติมีชีวิตแบบนั้น คือ มีอายุมากกว่านพพร เป็นเมียขุนนางที่ตายโดยไม่มีคนรักแต่ก็ยังภูมิใจที่มีมีคนที่ฉันรัก ทำไมมาลัยชูพินิจเขียนเรื่องความรักสามเส้าแต่ตั้งชื่อว่าแผ่นดินของเรา ฯลฯ อันนี้เป็นสิ่งที่เราฝึกคิดกับมันได้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องวรรคดี แต่เรื่องศิลปะ การแสดงต่างๆ ด้วย เป็นต้นว่าเราอาจตั้งคำถามว่าทำไมอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงฝึกโขนธรรมศาสตร์

"การจะสร้างความเป็นไท หรืออิสรภาพในการคิดให้แก่ผู้เรียนได้จะต้องมีหลักสูตรศึกษาศาสตร์ที่หลุดพ้นจากอนุรักษ์นิยม เป็นหลักสูตรที่สร้างครูพันธุ์ใหม่ที่แท้จริง ครูต้องคิดเองเก่งถึงจะสอนให้คนอื่นคิดเองเก่งได้ ครูต้องมีความรู้กว้างขวางก่อนถึงจะคิดเองเก่ง ฉะนั้นต้องติดตามความรู้ทั้งเก่าทั้งใหม่ทัน เห็นว่าพรมแดนความรู้ที่ตนเองสอนไปถึงไหนแล้ว และต้องมีทัศนะวิพากษ์ถึงจะสอนให้คนอื่นมีทัศนะวิพากษ์ได้"

ความเป็นไทยยังสำคัญมากทั้งในปัจจุบันและอนาคต ควรให้นักเรียนมีความเป็นไทยแบบที่มี "ย" และความเป็นไทยแบบไม่มี "ย" ไปพร้อมกัน แต่ความเป็นไทยแบบมี "ย" นั้นควรจะมีความหมายอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เราควรจะช่วยกันคิดให้ความหมายของความเป็นไทยเหมาะแก่ชีวิตของไทยในปัจจุบันและอนาคตแทนความหมายความเป็นไทยที่เรายังยึดอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

เราไม่ควรจะเป็นอิสระจากการครอบงำของรัฐเท่านั้นแต่ควรจะอิสระจากการครอบงำของกลุ่มทุนด้วย เช่นอะไรคือความสวยของผู้หญิง ความสวยจำเป็นที่ทำให้เราต้องผ่าตัดศัลยกรรม ลดน้ำหนัก หรือไม่ อะไรคือความสวยเราควรจะนิยามมันได้ด้วยตัวเอง อะไรคือชีวิตที่ดี เราควรนิยามชีวิตของเราเองไม่ให้กลุ่มทุนมานิยามให้

"ความดี ความงามที่การศึกษามอบให้ควรทำให้คนไทยสามารถมีชีวิตที่มีคุณค่าสูงส่งขึ้นด้วย ไม่ใช่ความดีความงามแบบที่ทำให้เรายึดติดความมั่นคงของรัฐแบบเดิม"

"การศึกษาเพื่อความเป็นไท และความเป็นไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องช่วยกันครุ่นคิดอย่างจริงจังหากต้องการปฏิรูปการศึกษา"


คัดลอกจาก http://www.prachatham.com/article_detail.php?id=25...


หมายเลขบันทึก: 588184เขียนเมื่อ 29 มีนาคม 2015 23:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มีนาคม 2015 23:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ ผอ

น่าสนใจมาก

เป็นแนวคิดที่น่าสนใจมากครับ
ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร
โรงเรียนทุกวันนี้สอนอะไร มีประโยชน์ต่อชีวิตยังไง
โรงเรียนสร้างปัญญามากน้อยแค่ไหน
การปลูกฝังค่านิยมรักชาติ มีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน มีผลกระทบอย่างไร
การใช้ศาสนา(แบบเปลือก)ปลูกฝังผู้เรียน เน้นสร้างภาพ ใด้ประโยชน์หรือให้โทษมากกว่ากัน
ระบบการประเมินผลเชิงปริมาณมีผลขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้นจริงหรือ
สุดท้าย ปัญหาเกิดจากทุนนิยม หรือเกิดจากขาดความรู้เรื่องเศรษศาสตร์

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท