Oh! I forgot taking medication this morning.
" แล้วทำไมพ่อต้องนั่งด้วยล่ะ" น้องจ้าถามมาหลังจากได้ยินผมอุทานออกไป
มาย้อนคิดดู ว่าการเรียนภาษาอังกฤษสมัยนี้มันช่างต่างกับสมัยที่เราเรียนมากนัก
นั่นมันก็ตั้งกว่า ๓๐ ปีแล้วสินะ ผมเริ่มเรียนภาษาต่างด้าวยี่ห้อนี้เมื่อตอน ป.๕ จำได้ว่าในวันแรกตื่นเต้นมากที่รู้จัก cat rat และ bat และเมื่อเรียนไปสักระยะหนึ่งก็เริ่มเข้าใจว่าตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ เพราะครูถาม ผมตอบได้ ผมท่องศัพท์ได้ และเมื่อมีการสอบ ผมก็มักจะได้คะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆของห้องเรียน
แต่ความเชื่อมั่นว่าเก่งก็ถูกบั่นทอนลงเล็กน้อย เมื่อครั้งที่ไปเกาะสมุยในปีเดียวกัน แล้วถูกฝรั่งสาวคนหนึ่งถามผมขณะที่ผมกำลังนอนเล่นแช่ปลายคลื่นอยู่นั้นว่า
What's your name?
อิ๊อ๋าย... รู้น่ะรู้ ว่าเขาถามว่าผมชื่ออะไร (คิดในใจต่อไปอีก ว่าเก่งจริงๆที่ฟังฝรั่งพูดรู้เรื่องเสียด้วย) แต่ครูไม่เคยบอกผมนี่นา ว่าชื่อผมในภาษาอังกฤษน่ะ เรียกว่าอะไร แม่ตั้งชื่อไทยว่าธนพันธ์ แต่ไอ้ธนพันธ์ในภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไรวะ คิดไม่ออกบอกไม่ถูก กูก็ยิ้มให้อย่างเดียว เจ็บใจนัก
และเราก็ยังเรียนภาษาอังกฤษแบบนี้เรื่อยมา
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนลูกเริ่มเข้าเรียนหนังสือชั้นอนุบาล ลูกผมมีครูเป็นฝรั่งอังกฤษเชียวนา ระบบการเรียนก็ไม่ได้เรียน cat rat bat เหมือนสมัยที่พ่อมันเรียน ลูกผมสามารถสื่อสารกับครูฝรั่งได้ ครูพูดฝรั่ง ลูกผมพูดไทย แต่เขาก็คุยกันสั่งงานกันรู้เรื่อง ลูกสาวเริ่มอ่านภาษาอังกฤษออกก่อนอยู่ชั้น ป.๕ ซึ่งเป็นช่วงชั้นที่พ่อเพิ่งเริ่มเรียน
น้องจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่มีครูเป็นคนเมืองอังกฤษ เธอเริ่มเรียนพิเศษกับครูคนนี้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ๓ และเรียนมาเรื่อยๆจนถึงตอนนี้คือชั้น ป.๓ ลูกยังมีครูสอนดนตรีเป็นฝรั่งโรมาเนียนที่พูดภาษาอังกฤษแบบเหน่อโรมาเนียน (ไม่รู้เรียกว่าอะไรดี แต่ก็ไม่ใช่สำเนียงคนอังกฤษ) เขาสื่อสารกันรู้เรื่อง รู้เรื่องชนิดที่สามารถรับสารจากครูมาส่งต่อให้พ่อได้ด้วย มาช่วงหลังเธอก็มีครูฝรั่งเพิ่มขึ้นมาอีกคน คนนี้ชวนเล่นเกม ชวนแสดงละคร สอนภาษาอย่างเนียนๆ (ก็แอบฟังมาครับ ไม่เคยได้ไปดูลูกเรียนเลยด้วยซ้ำ) แต่ก็รู้สึกว่า สำเนียงของลูกเพราะดี
ครั้งหนึ่ง ผมคุยกับลูกแล้วพูดคำออกมาคำหนึ่งเป็นภาษาไทยใส่ตัวเอส เธอก็แย้งว่า นั่นผิด เพราะภาษาไทยไม่มีเสียงเอสสสสส นั่นดอกหนึ่ง
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ลูกๆของผม (ผมกำลังหมายถึง จ้าและเพื่อนๆของหล่อน) ต้องแสดงละครเป็นภาษาอังกฤษเรื่องหนูน้อยหมวกแดง แทบต้องกลั้นหายใจดูวิดีโอที่พ่อของข้าวฟ่างส่งมาให้ดู ลูกๆของผมมีสำเนียงภาษาอังกฤษที่ไพเราะน่าฟังมาก จริงอยู่ บางคนจำบทไม่ได้บ้าง ลืมคิวบ้าง แต่นั่นก็ยังเป็นการแสดงละครจากเด็ก ป.๓ น่าตื้นตันจริงๆ นั่นคือดอกที่ ๒
มาถึงดอกที่ ๓ ก็เมื่อหัวค่ำ ขณะที่ผมกำลังจะกินยามื้อตอนเย็นแล้วพบว่า Oh! I forgot taking medication this morning. จ้าเลยถามกลับมาว่า "แล้วทำไมพ่อต้องนั่งด้วยล่ะ"
ผมหยุดนิดหนึ่งแล้วถามลูกออกไปว่า "นั่งอะไรเหรอลูก"
"นั่งสมาธิไงพ่อ ทำไมพ่อต้องนั่งสมาธิด้วย" เธอตอบมาแววตาใสกิ๊ก
พ่อก็ตอบกลับไปด้วยการยืนงงและมองหน้า แถมย่นคิ้วนิดหนึ่ง แบบว่ายังไม่เข้าใจอยู่ดี
"Meditation ไงพ่อ มันคือนั่งสมาธิไม่ใช่เหรอ"
แม่ของเธอซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลักออกมาในบัดดล
ดีนะ ลูกไม่บอกมาว่า "ดูปากณิชานะคะ me di ta tion"
ธนพันธ์ ชูบุญพ่อน้องณิชา (กานต์)
๑๘ กพ ๕๘
สังเกตเด็กๆสมัยนี้สำเนียงภาษาอังกฤษดีมากเลยค่ะ ชื่นชมค่ะ