ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร
เศรษฐกิจพอเพียง
.....ทางออกของคนไทยที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบัน
ในยุคของสังคมฟุ่มเฟือย
ผู้คนแข่งขันกันแต่ในด้านวัตถุ
ค่าครองชีพถีบตัวขึ้นสูง
ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูด
โอกาสที่จะลดลงมีความเป็นไปได้น้อยมากแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ว่าได้
น้ำมันในประเทศไทยก็พุ่งตัวสูงตามไปด้วย
ผลที่ตามมาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ผู้ที่มีรายได้น้อยจะอยู่กันอย่างไร
ดูเหมือนสังคมจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป
น้ำมันแพงก็แพงไป
สินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคาก็ขึ้นไป
รัฐบาลก็อ้างปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด
ให้มันลอยตัว
ทุกฝ่ายดูเหมือนจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ใครจนก็จงจนต่อไป
ใครรวยก็รวยต่อไป
ใครมีโอกาสฉกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้องก็หากันไปโดยเสรี
นายกทักษิณ พูดอยู่เสมอว่า
อีก 4
ปีข้างหน้าคนจนจะหมดไปจากประเทศไทย
หากเศรษฐกิจและสภาพของสังคมไทยยังดำเนินอยู่ในปัจจุบันนี้ อีก
4
ปีข้างหน้าคนจนก็คงจะหมดไปจากประเทศไทยจริงๆ
นั่นคือตายกันหมด
หรือไม่ก็ถูกจับไปอยู่ในห้องขัง
เปลี่ยนจากคนจนกลายไปเป็นนักโทษ
นั่นเอง
คำว่า
“เศรษฐกิจพอเพียง”เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส
ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า
25
ปี
ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจและเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ซึ่งพระองค์ท่านได้ชี้แนวดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับครอบครัว
ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ
ทั้งในการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์
ความพอเพียง
หมายถึง
ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล
รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร(อินเตอร์เนต:2548)
1.
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
มีผู้ศึกษาและค้นหา ความหมายของปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง อาจทำได้ 2 วิธี
คือ คิดค้นหาความหมายเชิงทฤษฎี (Deductive
)
หรือกลั่นกรองความหมายโดยการนำเอาประสบการณ์ที่มีอยู่มาสังเคราะห์
( Inductive)
เพื่อถอดออกมาเป็นข้อคิดและหลักการ
ดังนี้
1.1 กิจกรรมในชุมชนที่สอดคล้องกับปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งยังไม่กล่าวถึงความหมายของปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง
1.1.1
กิจกรรมการผลิต
โดยเฉพาะในภาคการเกษตร
ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแต่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างคุ้มค่า
เช่น กิจกรรมทำปุ๋ยชีวภาพ
การปลูกผักและข้าวปลอดสารพิษ การทำถ่านชีวภาพ
การแปรรูปผลผลิต การทำการเกษตรผสมผสาน
ฯลฯ
1.1.2.
การรวมกลุ่มกันเพื่อกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในชุมชนด้วยทุนทางสังคมที่มีอยู่
ชุมชนได้รวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆที่เกิดจากความรักและความเอื้ออาทรของสมาชิกในชุมชน
เช่น กิจกรรมต่อต้านยาเสพติด
การจัดตั้งร้านค้าชุมชน การจัดทำแผนแม่บท
การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์
การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ
การรวมกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
1.1.3. กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จิตสำนึกท้องถิ่น
ส่งเสริมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเศรษฐกิจพอเพียง
เช่น
กิจกรรมที่ปลูกฝังสมาชิกในชุมชนให้มีความเอื้ออาทรต่อกันมากกว่าคำนึงถึงตัวเงิน
ให้ทำบัญชีด้วยความโปร่งใส
กิจกรรมให้สมาชิกชุมชนพึ่งตนเอง
กิจกรรมการพัฒนาครูในชุมชนให้มีคุณภาพและมีจิตผูกพันกับท้องถิ่นเป็นสำคัญ
2.
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงจากมุมมองของชุมชน
หลังจากที่ชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว
ก็ได้ร่วมกันคิดค้นหาความหมายและให้นิยามเกี่ยวกับปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง จากประสบการณ์ ของแต่ละคน
สรุปแบ่งแยกปรัชญาเป็น 3
ระดับ·
ระดับจิตสำนึก
คือการที่สมาชิกในชุมชนแต่ละคนรู้จักใช้ชีวิตอย่างสมถะประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงตนเองได้อย่างถูกต้องไม่อดอยาก
โดยยึดหลักดังนี้§
การใช้ชีวิตบนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง
รู้จกพัฒนาตนเองด้วยการพยายามทำจิตใจให้ผ่องใส§
การคิดพึ่งพาตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ก่อนคิดพึ่งคนอื่นก็ต้องคิดพึ่งพาตนเองก่อน
และในสังคมก็ควรถ้อยทีถ้อยอาศัย
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน§
การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
รู้จักลดละเลิกกิเลส
เพื่อให้เหลือแรงและเวลาในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ตลอดจนทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมมากขึ้น·
ระดับปฏิบัติ§
ขั้นแรก
“การพึ่งตนเอง”
ในระดับครอบครัวต้องสามารถพึ่งตนเองได้
มีการบริหารจัดการอย่างพอดี
ไม่ฟุ่มเฟือย
สามารถรักษาระดับการใช้จ่ายไม่เป็นหนี้§
ขั้นที่สอง
“อยู่ได้อย่างพอเพียง”
เมื่อพึ่งตนเองในขั้นแรกได้แล้ว
สมาชิกต้องรู้จักพัฒนาตนเอง
ให้สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียง§
ขั้นที่สาม
“อยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร”
สมาชิกในชุมชนต้องรู้จักแจกจ่ายแบ่งปัน
จะช่วยลดความเห็นแก่ตัวและสร้างความเพียงพอขึ้นในจิตใจ§
ขั้นสุดท้าย
“
อยู่ดียิ่งขึ้นด้วยการเรียนรู้”
สมาชิกในชุมชนต้องรู้จักพัฒนาตนเอง
โดยการเรียนรู้จากธรรมชาติและประสบการณ์ในโลกว้างด้วยตนเอง
หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกับผู้อื่น
ให้เกอดเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่ทุกคนช่วยกันพัฒนาชีวิตตนเองและผู้อื่นร่วมกัน
มีการสืบทอดและเรียนรู้เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและพัฒนาให้เป็นสังคมที่มั่นคงและยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
โดยใช้คุณธรรมและวัฒนธรรมเป็นตัวนำ
ไม่ได้ใช้เงินเป็นตัวตั้ง ·
ระดับปฏิเวธ
(ผลที่เกิดจากการปฏิบัติ)§
ความพอเพียงในระดับครอบครัว
สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ในลักษณะพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข
สามารถดำเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
สามารถหาปัจจัย 4
มาเลี้ยงตนเองได้โดยยังเหลือเป็นส่วนออม§
ความพอเพียงในระดับชุมชน
เกิดจากความเพียงพอในระดับครอบครัวก่อน แล้วจึงรวมกลุ่มกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม§
ความพอเพียงในระดับสังคม
เกิดจากความเพียงพอของหลายๆชุมชนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้สืบทอดภูมิปัญญา
และร่วมกันพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540
เป็นบทเรียนที่ดีในการวางแผนพัฒนาประเทศ
โดยทำให้เห็นความสำคัญของ
แนวทางพัฒนาที่สอดคล้องกับกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่เน้นความเพียงพอเป็นพื้นฐานก่อน
ดังพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานไว้ว่า“การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ที่ความพอมีพอกิน” (พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ
พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดี ที่
4
ธันวาคม 2540)
เหตุแห่งวิกฤติทางเศรษฐกิจ
ที่เคยล่มสลาย และอาจจะมาเยือนอีก
จากข้อความที่กล่าวว่า “เหตุแห่งวิกฤติทางเศรษฐกิจ
ที่เคยล่มสลาย และอาจจะมาเยือนอีก”
ก็ด้วยเหตุที่ว่า
1.
อิทธิพลจักรวรรดินิยมชาติตะวันตกที่เปลี่ยนจากสงครามทางการเมือง
มาเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ
หรือที่เรียกกันว่า
จากสงครามร้อนมาสู่สงครามเย็น
ซึ่งค่อยๆแทรกแซงเข้ามาครอบงำปัจจัยพื้นฐานของประเทศโดยผ่านเครื่องมือ
4 อย่าง คือ
สถาบันทางการเงิน นักการเมืองทุจริต
ระบบประชาธิปไตยที่ยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก
และสื่อมวลชน
2.
ที่ผ่านมาและกำลังดำเนินอยู่รัฐมีแนวทางพัฒนาประเทศโดยเอาเงินเป็นตัวตั้ง
มุ่งกระจายเงินไปสู่ชนบท
แต่ไม่มีวิธีการพัฒนาที่ยั่งยืน
3. จากนโยบายในข้อ 2
ก็ส่งผลต่อสมาชิกในชุมชน คือ
สมาชิกในชุมชนเกิดความคุ้นเคยในการก่อหนี้
ไม่สนใจการออม
มีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ลงทุนเกินตัว
วางแผนไม่รอบคอบ
4.
นำค่านิยมและวัฒนธรรมต่างประเทศมาใช้โดยไม่ปรับให้เหมาะสมกับคนไทย
คนไม่ช่วยเหลือสังคม
เน้นวัตถุเกิดความแก่งแย่งแข่งขัน
แย่งชิงทรัพยากรมาใช้เพื่ออยู่ดีทางวัตถุ
5.
ขาดการถ่ายทอดความรู้และต่อยอดภูมิปัญญาไปยังลูกหลาน
ทำตัวเหมือนสังคมของ นกเรดโรบิน
(ดำรง ลีลานุรักษ์
:มติชน 2544)
หรือเลวร้ายกว่านั้นคือ
ปลูกฝังค่านิยมในการดำเนินชีวิตที่ผิด
กล่าวคือ
ไม่ปลูกฝังให้สมาชิกรูจักพอเพียง
ไม่รู้จักบุญคุณ
ไม่เคารพผู้ใหญ่ หรือพระสงฆ์
ไม่รู้จักหน้าที่ของพลเมืองที่ดี
นับถือวัตถุ นับถือคนรวย
ความรวย ไม่นับถือความดี
เงินคือพระเจ้า
มุ่งแสวงหาวัตถุโดยไม่คำนึงความถูก-ผิด
ชั่ว-ดี
สมาชิกจึงเกิดความเห็นแก่ตัว
ตัวใครตัวมัน
ไม่เอื้อเฟื้อไม่อาทร
สังคมจึงเกิดปัญหา
6.
การอพยพของชาวชนบทเข้าสู่ตัวเมือเพื่อขายแรงงานแลกเงิน
ทำให้ชนบทขาดแรงงานภาคเกษตร
จะเหลือแต่เด็กและคนชรา
สถาบันครอบครัวล่มสลาย
พ่อแม่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูและเอาใจใส่ลูก
ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวและปัญหาทางสังคมตามมา
7.
นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการขาดคุณธรรมมุ่งแต่เงิน
ทำให้ผลิตสื่อมอมเมาสมาชิกในสังคมให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ
โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติยิ่งถูกมอมเมาได้ง่าย
8. ระบบราชการ การเมือง
และกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ
พอเพียงในการพัฒนาระดับชุมชน การทุจริตฉ้อราษฎร์
บังหลวงมีอยู่ทุกระดับ แทรกซึมทุกหน่วยงาน
ทุกองค์กร
โครงสร้างทางการเมืองไม่โปร่งใสประชาชนมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาประเทศน้อยมาก
ทำให้แนวทางในการพัฒนาประเทศไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
กฎหมายยังล้าหลังและอ่อนแอ
9.
ปัญหาการความรู้ทางเทคโนโลยีและการทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่นอันมีค่าไม่
สืบทอดและต่อยอด
10. หลักสูตรมุ่งผลิตให้นักเรียนมีความรู้
แต่ไม่มีคุณธรรม
นักเรียนนักศึกษายังเป็นภาระให้ผู้ปกครองหาเลี้ยงและส่งเสีย
11.
สมาชิกในสังคมไม่เห็นไม่รู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ
ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ในอดีตกลับเสื่อมโทรม
เช่น ป่าไม้ แม่น้ำ ลำธาร ขาดการดูแลรักษา
และพัฒนาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มา
เปลี่ยนวิกฤตจากกระแสโลกาภิวัตน์ให้เป็นโอกาสโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันเถอะ
ในปัจจุบันสังคมโลกที่เราอาศัยอยู่เป็นสังคมโลกที่เราต้องดำรงชีวิตอยู่และรักษาสมดุลภายใต้กระแสที่ตรงข้ามกัน
ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง อาทิ
ชนบท กับเมือง
กายภาพ กับ จิตวิญญาณ
การอนุรักษ์กับการพัฒนา
ฯลฯ ดูตามตาราง
โลกาภิวัตน์
ชนบท
เสถียรภาพอนุรักษ์กายภาพอุตสาหกรรม
|
ชุมชนาภิวัฒน์ในเมืองการเปลี่ยนแปลงพัฒนาจิตวิญญาณสิ่งแวดล้อม
|
จากตารางข้างบนนั่นคือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่และจะดำเนินต่อไป
การที่เราจะใช้ชีวิตให้เป็นไปอย่างสมดุล
ไม่ใช่เราจะเลือกขั้วใดขั้วหนึ่ง
แต่เป็นการหาแนวทางที่ดีจากแต่ละกระแสมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
ก็เหมือนกันกับการจะดำรงชีวิตอยู่ใต้กระแสโลกาภิวัฒน์นั้นก็ต้องเข้าใจถึงโอกาสและภัยคุกคามที่เกิดขึ้น
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
กับชุมชน และรัฐ
และขณะเดียวกันก็ใช้กระแสโลกาภิวัฒน์เป็นโอกาส
คือนำกระแสโลกาภิวัฒน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
โดยนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
มาใช้
เช่น
1. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้
เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายข่าวสารอย่างรวดเร็ว
ทำให้คนได้รับข่าวสารได้อย่างเท่าทัน
เป็นผลผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
จากนโยบายรวมศูนย์ไปเป็นการกระจายอำนาจ
2. กระแสโลกาภิวัฒน์
เปิดโอกาสให้เกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างชุมชนและองค์กรต่างๆ
ทั้งภายในและต่างประเทศ
เกิดความร่วมมืออย่างไร้พรมแดน
ทั้งในแง่การผลิต การตลาด
ซึ่งจะทำให้เกิดกิจการส่งเสริมอาชีพ
การเพิ่มทางเลือกของตลาด
การเพิ่มทางเลือกของสินค้า
3.
ผลของวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้ชุมชนต่างๆหันมาคิดพึ่งตนเองให้มากขึ้น
พิจารณาต้นเหตุของปัญหา
และทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิตที่ผ่าน
ที่มีค่านิยมฟุ้งเฟ้อ
มีชีวิตอยู่บนความประมาท เศรษฐกิจแบบฟองสบู่
เมื่อฟองสบู่แตกก็ล่มสลาย
นักธุรกิจทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าหลายคนหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย
เริ่มมารู้จักสถานะและศักยภาพของตนเอง
ประกอบกับในขณะนี้เกิดวิกฤตทางสังคม
แนวคิดพัฒนาจากภายนอก
ทำให้ชุมชนหันมาให้ความสนใจกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน
ดูแลสุขภาพตนเองให้ดีขึ้นโดยพยายามประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่มีอยู่มารักษา
4.
ภัยคุกคามจากกระแสโลกาภิวัฒน์
หากองค์กรของรัฐหรือสถาบันของชุมชนไม่รู้เท่าทัน
ย่อมมีผลส่งให้ภาพโดยรวมของประเทศและสังคมไทย มีความ
เปราะบาง
และรับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภายนอกได้ง่าย
เช่นตลาดชุมชนถูกทำลาย
วิสาหกิจภายในประเทศถูกคุกคาม
ก่อให้เกิดการว่างงาน
ผู้ผลิตไม่สามารถขายผลผลิตได้เพราะถูกเอาเปรียบจากอิทธิพลทุนนิยมต่างประเทศ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ รัฐและชุมชน
ต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้เกิดขึ้น
ด้วยการสร้างองค์ความรู้โดยสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนและจัดการความรู้
ทางด้านข้อมูลข่าวสาร
และเทคโนโลยีระหว่างคนในประเทศ
เพื่อให้คนไทยทุกส่วนของประเทศวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการที่ดี
โปร่งใสและเป็นธรรม
เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
5.
ความแตกต่างของระดับการพัฒนา
คนไทยไม่รู้เท่าทันต่างชาติ
เป็นการเปิดโอกาสให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาไทย
หรือปิดบังโอกาสไม่ให้คนไทยได้นำภูมิปัญญาดั้งเดิมของตนเองไปใช้
ด้วยการชิงจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของความคิดภูมิปัญญานั้นก่อน
วิธีแก้ปัญหา
ในภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมหามาตรการให้คนในสังคมเข้าใจและรู้เท่าทันสภาพการณ์
รวมทั้งรัฐจะต้องรู้จักนำกฎระเบียบสากลที่มีอยู่
โดยเฉพาะการเจรจาในองค์การค้าโลก (WTO)
มาปกป้องและคุมครองภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยด้วย
6. การไตร่ตรองให้รอบคอบ
ในการนำเอาแนวคิดค่านิยมที่มุ่งเน้นวัตถุเข้ามาในประเทศ
หาก
ไม่ไตร่ตรอง
ย่อเกิดผลความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาการเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นในสังคม
หรือการรับเอาค่านิยมการบริโภคที่ฟุ้งเฟ้อ
ย่อทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง
วิธีแก้คือ
ต้องเน้นสร้างฐานแห่งความรู้
รู้จักตนเอง รู้จักชุมชน
รู้จักสังคม
ไม่หลงมัวเมากับค่านิยมที่กล่าวมาข้างต้น
7.
จรรยาบรรณของสื่อมวลชน
สื่อมวลชนผู้ซึ่งถือเป็นเครื่องมือในการนำเสนอข้อมูล
และมีบทบาทในการกระตุ้นกระแสนิยมต่างๆ
ที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัฒน์
รัฐจึงควรสร้างจรรยาบรรณของสื่อมวลชน
ให้มีจิตสำนึกสาธารณะและความสามัคคีในชุมชน
หามาตรการส่งเสริมให้สื่อ
ช่วยสร้างเสริมศักยภาพด้านการจัดการของคนและสังคมให้มีประสิทธิภาพ
ให้สามารถรู้เท่าทันโลก
โดยสื่อจะต้องส่งเสริมให้ร่วมกันคิด
กระตุ้นให้เกิดกระแสนิยมให้ทุกคนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญ
ของภูมิปัญญาท้องถิ่น
“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมานานกว่า
25
ปี
การดำเนินชีวิตในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
จะต้องมีการจัดการบริหารที่ดี
เพราะการประกอบอาชีพใดก็ตามควรต้องใช้ความรู้ความสามารถและการจัดการที่ดี
มีการนำทรัพยากรมาใช้อย่างชาญฉลาด
พร้อมทั้งหาวิธีการเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรในการประกอบอาชีพต่างๆ
จะต้องยึดหลักในการมุ่งลดรายจ่ายไม่ใช่มุ่งแต่จะเพิ่มรายได้อย่างเดียว
และการนำทรัพยากรมาใช้นั้นควรจะรู้ถึงคุณค่า
คุณประโยชน์
ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
อีกประการหนึ่ง
การอยู่ร่วมกันในสังคมก็ต้องมีความเอื้ออาทร
ไม่เบียดเบียนกัน ประนีประนอม
รู้รักสามัคคี
สมาชิกในชุมชนต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นส่วนรวม
นอกจากนี้แล้วสมาชิกในชุมชนต้องรู้จักพึ่งพาตนเอง
โดยยึดพุทธภาษิต “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ไม่หวังพึ่งปัจจัยภายนอก
ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน
ไม่เป็นภาระของผู้อื่น
ไม่ฟุ้งเฟ้อ
พอเพียงกับตนเอง
หลักการสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ
เศรษฐกิจพอเพียง
คือการรวมกลุ่มดำเนินการทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน
ของชุมชน
ซึ่งการรวมกลุ่มของชาวบ้านจะเป็นการพัฒนาสมาชิกในชุมชน
เมื่อกลุ่มเข้มแข็ง
ทางเศรษฐกิจก็จะช่วยให้สังคมก็เข้มแข็งขึ้น
จะส่งผลให้ประเทศเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความมั่นคง
จากเหตุและผลตลอดทั้งแนวทางแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตที่ผ่านมาและดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
จึงสรุปได้ว่า
ในยุคนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่า
การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำรงชีวิตเพื่อให้เกิดความสมดุลท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์
ผู้เขียนขอสรุปแนวทางในการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ในการดำรงชีวิตดังต่อไปนี้
1.
เพิ่มทักษะและขีดความสามารถของคนในชุมชนให้รู้จักตนเอง
มีศักยภาพเรียนรู้
และรู้จักทุนทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนตนเอง
2. สนับสนุนให้เกิดการบร