"เฝ้าดูใจ"
หลายวันก่อนได้ไปสอนธรรมะศึกษา แล้วให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรมเพิ่มเติมโดยแนะนำว่า ในแต่ละวันให้หาเวลาว่างสัก 5 นาที เวลาที่เราผ่อนคลายสบายๆ นั่งอยู่กับตัวเอง จะหลับตา หรือ ไม่หลับตาก็ได้ แล้วถามตัวเอง ตอบใจตัวเองว่า เราเป็นคนแบบไหน ? (เราเป็นลูกของพ่อแม่แบบไหน ? เราเป็นพี่เป็นน้องแบบไหน ? เราเป็นเพื่อนของเพื่อนแบบไหน ?)
หลังจากที่แนะนำนักศึกษาก็เลยนำคำถามนี้มาถามใจตนเอง มานั่งดูใจตนเอง ทุกๆวัน .. เราเป็นคนแบบไหน ? ยากที่จะได้คำตอบนะ ฮ่าๆ แต่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงในใจตลอดเวลา ..
ระหว่างที่นั่งถามตัวเองได้นึกถึงเหตุการณ์ ขณะที่นั่งแท็กซี่แล้วบอกทางแท็กซี่ว่าไปเส้นทางนี้นะ จอดด้านหลังวัด แท๊กซี่ก็ไม่พูดอะไร สักพักหนึ่งแท็กซี่ไม่ไปตามเส้นทางที่บอกก็เลยถามขึ้น 'ทำไมไม่ไปทางนั้น' แท็กซี่ตอบมาว่า 'ท่านเป็นพระ ท่านจะรู้เส้นทางดีที่สุดได้อย่างไร ผมขับรถทุกวันผมรู้ ไปทางนี้ก็ได้' พอได้ยินอย่างนี้ ก็ไม่พูดอะไร แต่ใจยังมีความรู้สึก (*...*)
สักพักใหญ่ๆรถแท็กซี่ก็วิ่งเข้าด้านหน้าวัด ก็ถามว่าไปทางไหนต่อหลวงพี่ 'ตรงไป เลี้ยวซ้าย ตรงไป เลี้ยวขวา ตรงไป เลี้ยวซ้าย จอดตรงนี้แหละ จ่ายตังแล้วก็ลง' กำลังที่จะลงแท็กซี่ก็ถาม แล้วผมจะกลับอย่างไงหลวงพี่ ? 'โยมต้องถอยกลับทางเดิม' .. วินาทีนั้นคิดว่า ตอนถอยรถกลับโยมคงจะนึกถึงคำนี้ได้นะ 'ท่านเป็นพระ จะรู้เส้นทางดีที่สุดได้อย่างไร'
ที่นำมาเล่าให้ฟังอยากให้เห็นว่า จากคำถามที่เรานำมาถามตนเองว่า เราเป็นคนแบบไหน ? ทำให้ได้ย้อนดูตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น วันหนึ่งก็เจอเรื่องอย่างเดิมอีก แต่ใจเรากลับไม่เป็นอย่างเดิม ในใจคิดว่า 'หน้าที่เราคือนั่ง เขาจะไปเส้นทางไหนก็แล้วแต่เขา ถึงที่หมายก็พอ'
ความรู้สึกนี้คงเป็นอานุภาพเเห่งการถามใจตัวเอง ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า 'ในการดำเนินชีวิตเราควรเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนที่คนอื่น การมองและโทษไปที่คนอื่นมันง่าย ง่ายกว่าที่จะมองและโทษมาที่ตนเอง' ถึงตอนนี้พอจะรู้หรือยังว่า เราเป็นคนแบบไหน ?
๒๗ สิงหาคม ๕๗
'ในการดำเนินชีวิตเราควรเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนที่คนอื่น การมองและโทษไปที่คนอื่นมันง่าย ง่ายกว่าที่จะมองและโทษมาที่ตนเอง'
เห็นด้วยกับท่านครับ