โครงการหนึ่งคณะหนึ่งศิลปวัฒนธรรมของคณะนิติศาสตร์ มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะเป็นคณะใหม่ แต่หัวใจแห่งการเรียนรู้ก็ไม่แพ้คณะอื่นๆ
ก่อนการกลั่นกรองโครงการ ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมโสเหล่กับคณะทำงานที่คณะนิติศาสตร์ ด้วยความที่เป็นคณะใหม่ บุคลากรยังขาดประสบการณ์ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ชุมชน แถมยังกำลังสาละวนอยู่กับการงานภายในหลากประเด็น ผมจึงพยายามแนะนำให้จัดโครงการในแบบบูรณาการ ซึ่งหมายถึงผสมผสานโครงการ “หนึ่งคณะหนึ่งศิลปวัฒนธรรม” (ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม) เข้ากับโครงการ “หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน” (บริการวิชาการแก่สังคม)
ก่อนนั้น ผมแนะนำให้อาจารย์และนิสิตลงชุมชนพัฒนาโจทย์โครงการฯ ร่วมกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของวนอุทยานอย่างจริงๆ จังๆ เป็นเสมือนการปรับความคาดหวังร่วมกัน เพราะพื้นที่มีความละเอียดอ่อน ยิ่งในกระแสแห่งการอนุรักษ์ป่านั้น ถือเป็นกระแสหลัก และเป็นชะตากรรมหลักที่ชาวไทยกำลังประสบอยู่
จากการลงพื้นที่ตามคำแนะนำที่ผมว่า-คณาจารย์สะท้อนให้ฟังอย่างเป็นกันเองว่า ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ชาวบ้านส่งมอบผืนป่าให้รัฐมาร่วมสามสิบปี ปัจจุบันพื้นที่ป่ามีในราวๆ ประมาณ 119 ไร่ ชาวบ้านยังคงเข้ามาเก็บฟืน จับปลาได้อย่างปกติสุข แต่ละปีมีกิจกรรมก่อเจดีย์ทราย (ตบประทาย) ในผืนป่า ประหนึ่งผืนป่าเป็นดอนปู่ตาในอีกมิติหนึ่ง
ครับ, นอกจากนั้น อาจารย์ ยังสื่อสารกลับมาถึงความมุ่งมั่นว่าน่าจะเสริมแต่งการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ผืนป่าผ่านพิธี “บวชป่า” ได้ ซึ่งถือเป็นมิติทางวัฒนธรรมของการขับเคลื่อนโครงการ
ขณะที่กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไป ผมเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนิสิตไปพร้อมๆ กัน ซึ่งนิสิตที่มาในวันนี้ส่วนใหญ่มาจากวิชา “สัมมนาปัญหาสังคมกับกฎหมาย”
ในหลายๆ จังหวะของกิจกรรมอาจขลุกขลักไม่ไหลลื่นอย่างที่คาดหวัง แต่เห็นความพยายามของอาจารย์และแกนนำนิสิตที่ใจเย็นและอ่อนน้อมในการที่จะเรียนรู้โดยให้ชุมชนเป็น “ครู” อย่างชัดเจน นับตั้งแต่การถวายภัตตาหาร จัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบพานบายศรี ขาดเหลืออะไร ชาวบ้านจะคอยบอกล่าวต่ออาจารย์และนิสิตเป็นระยะๆ เสมือนการ “สอนลูกสอนหลาน” รวมถึงการพาทำพิธีบวชป่าก็เป็นในทำนองเดียวกัน ถึงแม้จะมีกลิ่นอายเหมือนการสาธิตอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและความหมายอย่างมหาศาล
ในช่วงก่อนการปลูกต้นไม้นั้น ผมมีโอกาสได้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งอาจารย์และนิสิตยืนเป็นวงกลม หัวหน้าวนอุทยานได้อธิบายถึงการปลูกต้นไม้ ซึ่งผมถือโอกาสตั้งประเด็นการเรียนรู้เพิ่มเติม ด้วยการเรียนเชิญให้หัวหน้าฯ ได้บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของคำว่า “ชีหลง” ...
รวมถึงเรียนเชิญให้อธิบายถึงสภาพผืนป่าทั้งหมด ยึดโยงถึงคุณลักษณะ-สรรพคุณของต้นไม้ที่กำลังจะนำไปปลูก (สะเดา-ประดู่ ฯลฯ) กระทั่งการเชื่อมไปสู่สถานการณ์ของไม้ในเมืองไทยที่เป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน ทั้งต้นยางนา ต้นสัก และพยุง
ครับ, ผมไม่ได้ด่วนดิบแทรกแซงกระบวนการหรอกนะครับ แต่สอบถามอาจารย์แล้วว่าประเด็นเหล่านี้ไม่มีในแผน -
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังชี้ชวนให้นิสิตกลุ่มใหม่ที่มาในวันนี้ได้เข้าใจว่าพื้นที่ป่าดังกล่าวเป็นพื้นที่เดียวกับที่คณะได้จัดโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน หรือกระทั่งการปลูกป่าเนื่องในโครงการคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปสดๆ ร้อนๆ ของคณะนิติศาสตร์
นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนถึงประเด็นว่านิสิตสามารถบูรณาการวนอุทยานเป็นห้องเรียนอีกห้องของนิสิตได้ ทั้งในทางวิชาชีพ หรือการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้บริบทของวนอุยานเป็นโจทย์ของการเรียนรู้ ---
ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกแรงกำลังหนึ่งในการหนุนเสริมให้วนอุทยานได้รับการพัฒนาที่ต่อเนื่อง และเป็นที่รู้จักกว้างขวาง หากทำได้ก็ควรช่วยกันผลักให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ หรือแผนพัฒนาของจังหวัดฯ
ก่อนอำลาพาจาก ผมแซวอาจารย์บางท่านว่า ปลูกต้นไม้อย่างเดียวไม่พอหรอกนะครับ อย่าลืมพานิสิตกลับมารดน้ำพรวนดินมันบ้าง รวมถึงลองทำค่ายเยาวชน หรือค่ายนิสิตในผืนป่าเหล่านี้ ชวนกันมาทำฐานการเรียนรู้พืชพันธุ์ไม้บ้างก็ดี จะทำกันเอง หรือประสานหน่วยงานอื่นๆ มาร่วมด้วยช่วยกันก็ไม่ผิด
รวมถึงอย่าลืมชวนนิสิตถอดบทเรียนง่ายๆ ร่วมกัน ทั้งในกลุ่มวิชาสัมมนาฯ และในกลุ่มจิตอาสาทั่วไปว่าเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว ได้เรียนรู้อะไรบ้างฯ
และนั่นอาจหมายถึงการนำไปสู่การสร้างแกนนำหลากวัยเพื่อร่วมอนุรักษ์และปกป้องผืนป่าผืนนี้ด้วยก็เป็นได้
ผมให้กำลังใจ และจะตามเชียร์ต่อไป และต่อไป (นะครับ)
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗
“บทบาทของวัฒนธรรมชุมชนในการร่วมกับหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการพัฒนาผืนป่า”
(หนึ่งคณะหนึ่งศิลปวัฒนธรรม)
ณ วนอุทยานชีหลง-บ้านวังหว้า
ต.ท่าขอนยา อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
สวัสดีค่ะ อาจารย์ แผ่นดิน วันนี้ดีใจได้กลับมาอ่านบทความดีของอาจารย์อีก เนี่องจากห่างหายไปนาน ด้วยเหตุผลจากสุขภาพ หวังว่าอาจารย์คงจะสบายดีนะคะ
แวะมาดู ด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง...(ขอบพระคุณ..ที่มีบันทึก..เหล่านี้)...
สวัสดีครับ ครูทิพย์
ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะครับ
ผมเองก็สุขภาพย่ำแย่ไปร่วมเดือน...
การงาน ก็หนักหน่วงในทางความคิด
ใช้พลังมากมายกว่าจะกลับมาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้
เป็นยังไงบ้างครับ สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช่ไหมครับ
ให้กำลังใจ และส่งใจไปเชียร์ ทั้งกายและใจ นะครับ
สวัสดีครับ ยายธี
เป็นยังไงบ้างครับคุณยายธี
ผืนป่าแถวบ้านเกิด มีคนดูแลให้หรือยัง ครับ
โครงการหนึ่งคณะหนึ่งศิลปวัฒนธรรม ... ของคณะนิติศาสตร์.... อ่านแล้วชื่นใจ นะคะ เห็นภาพ นศ.เข้ากับชาวบ้านได้ดี และรักผื่นป่า และยังนำเอาความเชื่อ..วัฒนธรรม ... วิถีชีวิต เข้ามาผนวกด้วย .... เยี่ยมจริงๆค่ะ ชื่นชมค่ะ
ตามมาเชียร์นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ .... อย่างมีเสน่ห์ coach of the coach ให้อาจารย์และนิสิตติดตัวการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนไปอย่างต่อเนื่องนะคะ
ทุกที่ ทุกเวลา เกิดการเรียนรู้ได้จริง ขอบคุณมากค่ะ อ.แผ่นดิน
ครับ พี่Dr. Ple
สิ่งที่ผมดีใจ สุขใจกับโครงการนี้ก็คือการบูรณาการมิติทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้ากับกฏกมายของบ้านเมืองนี่แหละครับ มันทำให้เราเห็นมิติที่มีชีวิตของความเป็นสังคมศาสตร์ได้ชัดและงดงามมากขึ้น
ยิ่งได้เรียนรู็วิถีความเชื่อ คติชนที่เป็นเกราะป้องกันผืนป่า ยิ่งชวนให้คิดและตีความไปยังสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมาย นี่คือโอกาสดีที่ว่าที่นักกฏหมายจะได้เข้าใจระเบียบโครงสร้างของสังคมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ครับ
ขอบคุณครับ คุณมะเดื่อ
ไม่ว่ายุคสมัยใด เยาวชนก็ยังเป็นลมหายใจของปัจจุบันและอนาคตแห่งสังคม เสมอ
ให้กำลังใจเช่นกันนะครับ