• มีสำนวนหนึ่งแพร่หลาย และนิยมกันมากว่า
“ ...คำด่าที่ห่วงใย ดีกว่าคำชมที่เสแสร้ง...”
แต่...ผมมองเห็นต่าง เห็นแย้งอีกมุมมองหนึ่ง ดังนี้
.
จริงๆแล้ว เราไม่รู้หรอกว่า คนที่ด่าหรือชม เป็นคนอย่างไร มีเจตนาอย่างไร
แต่ทั้งคำด่าคำชมมีผลกระทบต่อจิตใจผู้ฟัง
ทำให้ทุกข์หรือสุข เจ็บใจ หรือ ปลื้มใจเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นัก จึงขอออกความเห็นร่วมด้วย
.
• ขึ้นชื่อว่าด่า ด่าอย่างไรก็เกิดจาก "โทสะ"
ที่เกิดโทสะจนระงับไม่อยู่ กลายเป็น "ผรุสวาท"
ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ..."คาดหวัง" ไว้มาก แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
แม้ต่อมา พยายาม "คาดคั้น" บางครั้งถึงกับ "คาดโทษ" และ "ลงโทษ" ก็แล้ว
ก็ยังไม่ได้ตามที่หวังอีก จึงเกิดการควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ จนต้องด่าออกไป.
.
• ที่ด่าไม่ได้ เพราะ "รัก" และ "หวังดี" หรอกครับ
แต่ด่าเพราะไม่เป็นไปตามที่หวังต่างหาก
แต่ด่าไปแล้ว สำนึกได้ว่ารุนแรงเกินไป
ก็แกล้งมา "แก้ขวย" ว่าด่าเพราะหวังดีหรอกนะ
.
• เพราะอกุศลจิตที่ด่า (ผรุสวาท) เป็นวจีทุจริต
แต่ความเป็นพ่อแม่ ดีตรงที่ว่า ท่านด่าไม่นานก็กลับมายังรักและหวังดีอยู่
หรือกลับมาพูดดีด้วย อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดอกุศลจิตไม่นาน
ไม่เหมือนบุคคลทั่วไป ที่ด่าแล้วมักเจ็บใจ หรือผูกใจเจ็บต่อ
.
• ถ้าด่าเป็นสิ่งดี พระพุทธเจ้าคงไม่จัดเป็นส่วนหนึ่งของสัมมาวาจา
ในองค์มรรค 8 โดยท่านให้ไม่มุสาวาท ไม่ปิสุณาวาจา ไม่ผรุสวาจา
และไม่สัมผัปปลาปะ หรอกครับ
.
• การที่จะอ้างว่าด่าเพราะเจตนาดี
แล้วแถมอ้างพุทธพจน์ว่า
“เจตนาวหํ กมฺมํ วเทมิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั่นแหละคือกรรม”
ก็พุทธเจ้าแสดงไว้ชัดแล้วว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม
เจตนาบังคับลูก ตั้งความหวังไว้กับลูก ให้ลูกพยายามเดินทางที่ตัวเอง
คิดว่าถูกว่าดี ในสายตาตนเอง ไม่ใช่ว่าไม่หวังดีต่อลูก
แต่หวังดีเกินไป ไม่เคยอ่านหรือครับว่า
“เมตตามากไป พลิกนิดเดียวก็กลายเป็นราคะ
กรุณามากไป ก็มักกลายเป็นโทสะ”
.
• การที่รักลูก หวังดีกับลูก จนต้องด่า
แสดงว่าจิตใจยังมีสติปัญญาไม่พอ
ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาพอไม่เห็นต้องด่าก็ได้
แค่ใจแข็งวางเงื่อนไขกับลูกเสียก็ได้ เช่น
พระพุทธเจ้าให้สงฆ์วางพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะ เป็นต้น
แต่ทางจิตวิทยามีตัวอย่างมากมาย ท่านที่สนใจค้นคว้าหาอ่านได้
ไม่มีความเห็น