สาเหตุเพราะน้ำตาลหรือไม่


น้ำตาลมีความผิดจริงหรือ?

คนไทยกินน้ำตาลเกินจึงทำให้เกิดเบาหวานที่สูงขึ้นเรื่อย ในคนไทย อีกทั้งคนไทยเริ่มป่วยเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุยังน้อย ข้อมูลเหล่านี้ประกอบกัน ทำให้น้ำตาลกลายเป็นจำเลยหลักที่ถูกกล่าวถึงในฐานะตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาในครั้งนี้

น้ำตาลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาการทั้งคาวและหวาน อาหารคาวหลายชนิดของไทยต้องมีรสหวานนำหรือหวานตามก็แล้วแต่ชนิด อาหารหวานจะขาดน้ำตาลไม่ได้เลย ความจริงที่กล่าวมานี้ปฏิเสธไม่ได้ น้ำตาลทรายที่เรากินกันทุกวันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง หากศึกษาถึงโครงสร้างจะพบว่าน้ำตาลทรายประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคสกับน้ำตาลฟรุกโตสจับกันอยู่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ภายในเวลา 5-10 นาที ดังนั้นหากเราเหนื่อย เพลีย ไม่สดชื่น การได้รับน้ำตาลเข้าไปจะทำให้ร่างกายสดชื่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นข้อดีแต่ก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งด้วย เพราะการที่น้ำตาลถูย่อยและดูดซึมเร็วนี้เองทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลิน ออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อ ปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น หากเรา ได้รับน้ำตาลในปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น หากเราได้รับน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นในการสร้างอินซูลินในปริมาณมากขึ้น จนถึงจุดที่ตับอ่อนไม่สามารถรับงานหนักเกินนี้ได้ ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์ได้ในปริมาณที่เท่าเดิมอินซูลินที่สร้างขึ้นมานี้จะมีข้อบกพร่องไม่สามารถทำงานได้ เมื่อนั้นเองร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลจากกระแสเลือดเขาสู่เซลล์ได้ น้ำตาลคงค้างในกระแสเลือดมากจนเป็นโรคที่เราเรียกว่า “เบาหวาน” หากเราไม่ควบคุมระดับน้ำตาลอีกก็จะเกิดโรคแกรกซ้อน เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตาเป็นต่อ อาจถึงขั้นสูญเสียอวัยวะไดมาถึงตอนนี้คนทั่วไปจึง ว่าน้ำตาลเป็นอันตราย แต่ถ้าคิดให้ดี คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้งทุกชนิดก็เป็นอันตรายและทำให้เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน

ดังนั้น ปัญหาของเบาหวานน่าจะเกิดจากความไม่สมดุลของอาหารที่กินมากกว่า หากเรากินอาหารที่เป็นแห้งร่วมกับอาหารที่เป็นโปรตีนและไขมันร่วมกับการกินใยอาหารอย่าสมดุลแล้ว ปัญหาก็ไม่น่าจะเกิด ควรกินอาหารคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 45-65 โปรตีนร้อยละ 10-15 และไขมันร้อยละ 20-35 ของปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน ร่วมกับการกินใยอาหาร 30 กรัมต่อวัน อาหารหนึ่งจานควรเป็นผักครึ่งจาน ข้าวแป้งหนึ่งในสี่และเนื้อสัตว์หนึ่งในสี่แบบนี้ก็จะสมดุล

ที่มา หนังสือนิตยสาร Healthtoday

ฉบับที่ 139 พ.ย. 2555

อาจารย์อุไร แก้วรัตน์

สาขางานวิชาสามัญ

คำสำคัญ (Tags): #kmanw
หมายเลขบันทึก: 566730เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2014 14:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน 2014 14:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)


ขอบคุณ  บันทึกดีดีนี้ค่ะ  ...


ผิดที่ผู้กินน้ำตาลๆไม่น่าจะผิดนะคะ  กินไม่พอดีกินเกิน จึงเกิดโรค แต่ก็มีคนจำนวนมากที่กินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเกิดโรคถึงทราบ ทำอย่างไรถึงจะให้คนจำนวนมากเข้าใจและกินแต่พอดีถูกต้องต่อสุขภาพเพื่อไม่ให้เกิดโรค  ซึ่งทำได้ยากมากใช่ไหมค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

Sugar is 'by itself' not guilty in the crime of diabetes but sugar is a major tool for food processors to make sweetened food for more sales/profits. And consumers are like drug addicts succumb to the lure of sweetness despite warning of health hazards (obesity, diabetes, heart problems,...)

We can't just say only "excess sugar" is bad when we can't say 'how much sugar is right' for each and every one of us. The only 'reasonable' course of action is to say "sugar can be quite bad for health" and to make a law that all food must declare sugar content (on label or other means) so consumers can make up their own decision. 

By the way, fruits and vegetables contain a fair amount of fructose sugar (about 50% glucose and 50% sucrose) and many 'other micro-organisms and molecules' (which may be catalysts for breaking down the fructose in metabolism). Many research results say 'natural fructose' is less harmful than 'pure/synthetic fructose' (as corn syrup fructose used in packaged cereals and packaged foods --mainly sold to children). In a way results say 'fresh fruits and vegetables --even sweet ones' are better than biscuits, cakes, ice cream,...

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท