เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๗ บีแมนไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ Lotus extra ท่าทอง (ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต) โดยวันนี้เป็นวันแรกที่ทางสรรพากรเขตพื้นที่เมืองพิษณุโลก เพิ่มจุดบริการนอกสถานที่ ช่วงวันที่ ๑๗ ถึง ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗...จะข้ามเรื่องที่เป็นเรื่องของการบริการไป..มาสู่เรื่องราวที่เป็นการบริหารภาษี..
ในปีภาษี ๒๕๕๕ บีแมนได้ไปซื้อประกันแบบบำนาญ ๕ หมื่นกว่าบาท และในปีภาษีนั้น มีการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าลดหย่อนบางรายการใหม่ทำให้ปี ๒๕๕๕ นั้นปีแมนได้คืนภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายทั้งปี ประมาณ ๗,๐๐๐ กว่าบาท
ในปีภาษี ๒๕๕๖ นั้น มีการเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างภาษีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เสียภาษีรายได้ ในภาพกว้าง..ดังนั้น บีแมนอยากจะนำประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารภาษีมาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) ดังนี้
สมมุติว่า บีแมนเป็น ข้าราชการ มีรายได้พึงประเมิน (จากเงินเดือน ค่าจ้าง) ปีละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท.. (รายได้อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากไปและไม่น้อยเกินไป พอดี พอเพียง)...ลองมาดูอัตราภาษีสำหรับคำนวณเงินได้สุทธิแสดงดังภาพ
จากตาราง หากเราจะบริหารภาษีให้เป็นศูนย์ ต้องทำให้รายรับพึงประเมินก่อนหักภาษี อยู่ในช่วงไม่เกิน ๑๕๐.๐๐๐ บาท ซึ่งจะตกอยู่ในช่วงยกเว้นภาษี
รายการหักหมวดต่างๆ
1.เงินที่ส่งเข้ากองทุน กบช. (ขั้นต่ำ) ร้อยละ ๓ ของรายได้พึงประเมิน เท่ากับ | ๑๕,๐๐๐ บาท |
2.ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (ร้อยละ ๔๐ แต่ไม่เกิน ๖ หมื่น) เท่ากับ | ๖๐,๐๐๐ บาท |
3.ค่าลดหย่อน รวมตามรายการ | ๒๘๑,๐๐๐ บาท |
|
๓๐,๐๐๐ บาท ๗๐,๐๐๐ บาท |
รายได้หักด้วยรายการหัก ๑-๓ (ก่อนหักเงินบริจาค) | ๑๔๔,๐๐๐ บาท |
เงินได้คำนวณภาษี (ไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ยกเว้น) | ยกเว้น |
จากตัวอย่างข้างต้น ยังไม่หักเงินบริจาค ก็เข้าข่ายที่ไม่ต้องเสียภาษีแล้ว (แต่ต้องไปยื่นแบบแสดงรายการ)
และสมมุติอีกว่า ในปี ๒๕๕๗ รายได้ของบีแมนเกิดเพิ่มกะทันหันเป็น ๖๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี (นั่นคือเพิ่มขึ้น ๑๐๐.๐๐๐ บาท) จะบริหารภาษีให้เป็นศูนย์ได้อย่างไร
ของผมไม่ได้วางแผนบริหารภาษีครับ แต่เมื่อฐานของปี 2555 มีจำนวนเงินต้องจ่ายเพิ่ม ผมจัดการหารด้วย 12 แล้วขอให้งานการเงินหักเพิ่มจากฐานเดิม ทำไปทำมาปีนี้ (2556) ด้วยการเพิ่มจำนวนเงินหักลดหย่อน ทำให้ผมได้เงินภาษีคืน ประมาณ 5 พันบาทเศษ ๆ ครับ
เรียน อ.คณิน