มีเพื่อนจำนวนมากมาบ่นว่า เพราะไม่เคยเห็นของจริง เลยแยกของจริงออกจากของเก๊ไม่ได้
ที่เป็นความจริง 100 % แต่ไม่น่าเห็นใจ
เพราะของจริงนั้นมีมากมาย ทั่วไป ที่ไหนก็น่าจะมี และผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเห็นเปลือกหอย แต่อาจจะไม่เคยส่องดู
ถ้าส่องดู ก็จะเห็นลักษณะการงอกของผิว และอาจจะคุ้นเคยกับผิวเปลือกหอย จนไม่มีทางที่จะงง หรือสงสัยว่าต่างจากพลาสติกอย่างไร
เรื่องนี้ผมเคยอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังมีนักถาม ที่เก่งเรื่องถาม ไม่ถนัดเรื่องอ่าน มาถามตลอด
จึงขอนำมาตอบอีกสักครั้ง
เปลือกหอยทุกชนิดจะมีการกำเนิดจากอย่างน้อย 3 กระบวนการด้วยกันคือ
1. จากการทำงานของอวัยวะของหอยเอง
2. จากการสร้างโมเลกุลของหอย เป็นโมเลกุลที่อาจจะไปเกาะเกี่ยวกันเอง ที่มักเกิดที่ผิวด้านลักษณะผิวเปลือกหอย
3. ผิวที่เกิดต่อเนื่องที่เป็นลักษณะที่เกิดโดยกระบวนการทางเคมี
ซึ่งเป็นลักษณะปกติของการเกิดผิวพระเนื้อปูนเปลือกหอย ที่เรากำลังสนใจ
ที่
1. มีการงอกของแคลเซียมคาร์บอนเนต (ปูนดิบ) เม็ดใสๆ มันๆ
2. แคลเซียมไบคาร์บอนเนต (ปูนสก) นวลๆในร่อง
และ
3. น้ำมัน เหลืองๆ
นี่คือหลัก 3 ข้อแรก ที่ใช้แยกปูนเปลือกหอย ออกจากพลาสติก (พระเก๊)
เพราะพระเก๊ เขาจะทำเม็ดโปะๆ เป็นก้อนใหญ่ๆ กองๆ เละๆ เลอะๆ อายุเดียว
ที่แตกต่างจากการงอกของปูนดิบที่เป็นเม็ดเล็กๆ ทับซ้อนกัน หลากอายุ
มีการชุบแป้งขาวๆ ปัดออกให้เหลือในร่อง
และทาสีเหลืองๆ มั่วๆ ไม่เป็นระบบ
และเมื่องอกไปนานๆ ก็จะเกิดความขรุขระ ที่ผมใช้คำว่า เหี่ยว (หลักข้อที่ 4)
และการงอกนั้น ก็จะทำให้เกิดรูพรุน (หลักข้อที่ 5)
รวมเป็นหลักการ 3+2
ที่แยก พระเนื้อปูน ออกจากพระเก๊เนื้อพลาสติกได้อย่างชัดเจน
และขอย้ำว่า เม็ดปูนดิบนั้นเล็กมากๆ อาจจะมีมากถึง 100 เม็ดในพื้นที่ 1x1 มม ที่ทำเก๊ได้ยากมาก
ทั้งด้วยจำนวนเม็ดในพื้นที่แคบๆ ความกลมมน และความหลากอายุของเม็ดที่งอกทับซ้อนกันเป็นกองๆ
หลักนี้ เริ่มจากดูเปลือกหอยให้ออก แล้วไปดูพระเนื้อปูนเปลือกหอย
ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง (หลังจากมองเห็นเม็ดปูนดิบ) ดูพระเนื้อปูนเปลือกหอยแท้ๆ เป็นทันทีครับ
หลักการง่ายๆเลยครับ
3+2
จำได้แล้วพลาดยากครับ
อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ
เปลือกหอยที่พูดถึงคือเปลือกหอยชนิดใหนครับ ขอบคุณครับ
หอยที่มีเปลือกเป็นปูน ยกเว้นทากที่ไม่มีเปลิอกครับ
2. แคลเซียมไบคาร์บอนเนต (ปูนสก) นวลๆในร่อง
และ
3. น้ำมัน เหลืองๆ
หลักการง่ายๆเลยครับ
3+2
แค่นี้เองหรือครับอาจารย์