หนู
ฉบับนี้เว้นการเมืองอีกหน่อย..ขอเขียนเรื่อง “หนู” ค่ะ..
หนู เป็นสัตว์ประจำปีชวด วิ่งมาเป็นสัตว์ตัวแรกของปี่นักษัตร ทั้งที่ก่อนถึงเส้นชัย วิ่งตามหลังวัวมา เห็นท่าจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งแน่ จึงกระโดดเกาะหางวัว วัวรำคาญสะบัดพรึ่ดหนูมาลอยข้ามมาอยู่ข้างหน้า เป็นที่หนึ่งของปีนักษัตรเลย
หนู เป็นสัตว์ที่เป็นผู้นำสารของเราสู่พระพิฆเนศ เวลาจะขอพรพระพิฆเนศต้องติดสินบนหนู กระซิบที่หู ถ้ากระซิบที่หูซ้าย ต้องเอามือปิดหูขวาไว้ หรือถ้ากระซิบหูขวาก็เอามือปิดหูซ้ายไว้..กันไม่ให้
คำขอไหลออกไป
นอกจากนี้ หนู ยังเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ ที่ผู้น้อยใช้พูดกับผู้ใหญ่ และเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒ ที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกผู้น้อย
และเป็นคำสำหรับเรียกเด็กที่มีความหมายในทางน่าเอ็นดู
สาเหตุที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งที่จะใช้สรรพนามแทนตัวเองกับผู้ใหญ่ว่า “หนู” ทั้งผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่าด้านอายุ และอาวุโสด้านคุณวุฒิ เช่น ผู้บังคับบัญชา หรือ ครูบาอาจารย์ แม้ว่าผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นจะอายุน้อยกว่า เป็นการใช้คำว่า “หนู” โดยไม่เคอะเขินทั้งที่เราอายุมากกว่า และก็ใช่จะอายุน้อยเสียเมื่อไร แต่เป็นการใช้โดยไม่ผิดความหมายตามพจนานุกรมแต่อย่างใด..
จาก หนู ความหมายโดยตรง มาสู่ หนู ความหมายโดยนัยกันบ้างเช่น
อีหนู สมัยก่อนเป็นคำที่ผู้ใหญ่เรียกเด็กอย่างเอ็นดู พ่อผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เรี่ยกลูกสาวว่า อีหนู แต่ปัจจุบันคำว่า อีหนู ความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นความหมายว่า กิ๊ก ไปซะแล้ว
หนูตกถังข้าวสาร เป็นสำนวนว่า ผู้ชายฐานะไม่ค่อยดีได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ร่ำรวยกว่า
หนูติดจั่น เป็นสำนวน หมายถึง หาทางออกไม่ได้
หนู สุดท้ายคือ หนูไม่รู้ ค่ะ หนูไม่รู้ หมายถึงใสซื่อ ไร้เดียงสา เป็นคำล้อเลียน ทำนองเสียดสี
มาถึงบรรทัดนี้ อาจมีผู้อ่านบางท่านนึกถึงใครบางคนที่ท่องคาถาใสซื่อว่า “หนูไม่รู้” ในกรณีทุจริตรับจำนำข้าวที่กำลังเป็นหอกพุ่งใส่อก “หนู” อยู่ขณะนี้
ไม่มีความเห็น