ในฐานะที่เรียนมาทางด้านวิทยาศา
แม้จะมาศึกษาหลักธรรมะในระยะหลั
ที่ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยทางวิทยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคิดค้นและกำหนดสูตรพระเนื้อผ
ว่า.......
1. การหาวัสดุเริ่มต้น
2. การเตรียมวัสดุ
3. การผสมมวลสารให้ได้สัดส่วน
4. การบ่มเนื้อให้แกร่งทนทาน
ทั้ง 4 หัวข้อนี้ จะทราบผลว่าเหมาะสม ดี ไม่ดี ลงตัว ไม่ลงตัว นั้น ต้องใช้เวลาประเมินผลอย่างน้อย 100 ปี ขึ้นไป
ที่ช่วงชีวิตมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่สามารถทำได้
เมื่อรุ่นลูกหลานเห็นผลแล้ว จะวิเคราะห์ย้อนหลัง ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีบันทึกไว้ว่า องค์ไหน (ที่ลงตัวแบบต่างๆ) นั้น ทำอย่างไร และผ่านขั้นตอน ทั้ง 4 ขั้นมาอย่างไรบ้าง
จึงทำให้พระเนื้อผงในแต่ละรุ่น มีเนื้อแตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด
และเป็นที่มาของการอ่านเนื้อ (โดยผู้มีประสบการณ์) ว่าเป็น เนื้อของวัดไหน สมัยไหน ได้โดยไม่ยากนัก
แม้จะมีความพยายามในการทำเลียนแ
ทั้งนี้ เพราะ โดยหลักสถิติ ความเป็นไปได้ (Permutation) แล้ว
พระเนื้อผงมีความเป็นไปได้ไม่ต่ำกว่า 100000 ล้าน (100,000,000,000) แบบ
และ การสร้างพระเนื้อผงจากวัดหนึ่งๆ แม่จะมีความแปรปรวนพอสมควร ก็ไม่มากมาย และอาจจะไม่เกิน 1000 แบบ
และวงการพระเครื่องในปัจจุบัน ก็ยังมากำหนดว่าเป็น "เนื้อ
ดังนั้น โดยความเป็นไปได้ ที่หลากหลายขนาดนั้น จึงยากมากๆ ที่ใครจะคิดเลียนแบบได้ แม้แต่ใกล้เคียงก็ยาก
แต่ความมหัศจรรย์ที่ผมกำลังจะพู
ก็คือ สูตรทั้ง 4 ข้อ ที่เป็นต้นแบบแต่ละวัดนั้น จนมีการ
ก. คิดได้
ข. ทำได้ อย่างที่คิด
และจะรู้ผลอีก 100 ปีข้างหน้า ว่าจะออกมาอย่างที่วางแผนไว้นั้
คิดได้ยังไง
ที่ไม่สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์
จะนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ก็ทำไม่
เพราะไม่มีหลักฐานอ้างอิง และเจ้าของทุกคนก็ไม่ยอมให้วิเคราะห์แยกส่วน
จึง......ไม่มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์
เหลือคำตอบทางธรรมะ ที่พอจะพึ่งได้ครับ
ก็คือ.......
เจโตปริยญาณ
หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า และย้อนหลัง
จึงสามารถกำหนดสูตรส่วนผสม ตามหลักการ 1-4 ได้อย่างถูกต้อง (ทนทาน)
ที่เป็นประสานที่สาม ของพระสมเด็จวัดระฆัง (ที่น่าทึ่งที่สุด เท่าที่ผมศึกษามา)
ต่อจาก 1. ย่อส่วนคำสอนในพระไตรปิฎก ให้เหลือเท่าสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก และ 2. นำแผนผังที่ย่อมา "เจียระนัย" ออกมาเป็น รูปร่างคล้ายๆ พระพุทธรูปปางสมาธิประทับบนฐานสา
และ 3. เจโตปริยญาณ ในการคิดสูตรและสร้างมวลสารที่แ
นี่คือความมหัศจรรย์ ของพระเนื้อผง ทั้งหลักการและผลลัพท์ ที่ผมศึกษามาครับ
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์อย่างยิ่งว่าเป็นเรื่องของญาณหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นจากการฝึกจิตครับ และหากบอกว่าไม่สามารถใช้หลักทางวิทยาศาสตร์มาไขนั้น โดยส่วนตัวเข้าใจว่าสามารถไขได้ หากแต่ว่าผู้ที่จะไขได้จะต้องสำเร็จในญาณนั้นๆเสียก่อน และผมยังแน่ใจว่าแม้จะอธิบายแจ่มชัดเพียงไร บุคคลที่จะเข้าใจได้ครบถ้วนนั้น ก็คงต้องสำเร็จในญาณนั้นๆก่อนเป็นแน่ เรื่องจิตต้องใช้จิตพิจารณา เรื่องธรรมะก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา อาจารย์ที่สอนผมดูสอนแต่แรกแล้วว่าเนื้อพระสมเด็จมีเป็นล้านแบบอย่างที่ท่านอาจารย์ค้นพบ(ราว20กว่าปีก่อนครับ) ต่อให้เห็นต่อหน้าบางทียังไม่รู้เลย เพราะไปยึดติดในเนื้อหาแบบที่เคยเห็นว่าเป็นเนื้อองค์ครู พอเห็นเนื้อที่แตกต่างก็ตีเก๊ง่ายๆ เพราะผิดจากที่เล่าเรียนมา และก็สร้างความสับสนพอสมควรแก่ผู้สะสมครับ สมเด็จท่านสร้างพระไว้เยอะมาก แต่ที่วงการยอมรับและขึ้นทะเบียนมีแค่หลักร้อยเท่านั้น อีกเป็นแสนองค์ ถ้าอยู่ในมือกลุ่มอิทธิพลในวงการก็ยอมรับกันได้ หากอยู่ในมือคนอื่นก็เก๊ง่ายๆเหมือนกัน และขอโทษไม่มีเห็นผลประกอบด้วยครับ สำหรับท่านที่ศรัทธาในองค์สมเด็จท่าน ก็เลือกเอาว่าจะหามาห้อยเพื่อใช้งานหรือเพื่อไว้ขาย หากคิดเป็นพุทธพานิช ก็ไปหาเช่าจากเซียนเหล่านั้น หากจะนำมาใช้งาน ก็เรียนรู้วิธีการตามหลักทางวิทยาศาสตร์ของท่านอาจารย์แสวงให้สำเร็จ แล้วท่านจะค้นพบพระหลงในท้องตลาดได้เหมือนกัน หากแต่ต้องใช้ความเพียรอย่างมากครับ ผมเองในช่วง 2 ปีนี้ เจอเพียง 2 องค์ เดินดูแผงพระเป็นหมื่นๆแผงครับ วนเวียนไปเรื่อยๆในแหล่งที่มีแผงย่อยแผงจรมาจัดนัดในสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญ ตอนเช่าหามาก็แค่หลักร้อยเท่านั้น หากแต่การตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามขั้นตอนแบบของผม ก็มั่นใจได้ว่า โอกาศที่เราจะเจอพระแท้ยังมีอีกครับ หากแต่ต้องใช้ธรรมเรื่องความเพียรขอรับ ......โชคดีมีความเพียรนะครับ....สวัสดีมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
หลักวิทยาศาสตร์ที่ผสมพลังจิตนี่ยังไม่ทราบว่าใครทำได้ ผมยังไม่เคยเห็นครับ
แต่แยกกันเดิน แต่ไปด้วยกัน พอเห็นอยู่ครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงที่มาให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์มากๆครับ
พระยังไม่เก่าครับ