กรณีวิจารณ์ คำวิจัย


     เดินกลับเข้าบ้านแบบมึนๆ ถามภรรยาว่า โทรศัพท์เครื่องที่ใช้นี้มีที่เก็บเสียงที่เพิ่งรับไว้ไหม ภรรยาบอกไม่มี แล้วถามว่าทำไมเหรอ ผมก็ไม่ตอบอะไร บอกเพียงว่าถามอย่างนั้นเอง ที่ถามเพราะตอนนั้นรู้สึกว่า หากมีการอัดเสียงไว้ ก็น่าจะดีที่จะเอามาเปิดให้คนอื่นฟัง จะได้ช่วยวินิจฉัยว่าท่านอาจารย์ของเราที่ใครๆก็ยกย่องว่าเป็นปัญญาชนสยามท่านพูดกับผมอย่างไรบ้าง สมควรไหมที่ผู้ใหญ่จะกระหนาบผู้น้อยอย่างนั้น แต่ไม่มีก็ดีเหมือนกัน สายลมพัดแล้วก็ผ่านไป แค่ผ่านไปนะครับ สายลมแห่งความจริงนั้นยังอยู่

     ที่เขียนเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านจันทร์ ไม่รู้นะครับ ท่านอาจารย์ส.นั้นผมรู้สึกว่าท่านอ่านยาก คนที่อ่านยากอย่างนี้ผมจะไม่เข้าหา พยายามอยู่ห่างๆ การพูดกันทางโทรศัพท์นั้นก็เป็นครั้งแรกที่ผมกับท่านพูดจากัน ไม่นับการทักทายกันตามมารยาทในงานสาธารณะ สำหรับผม คนที่จะเป็นหลักของสังคมต้องมีคุณสมบัติอย่างแรกเลยคืออ่านง่าย เย็น นิ่ง พูดน้อย แต่หนักด้วยสาระ และมีเมตตาที่คนอื่นรับรู้ได้ ท่านอาจารย์ของเราท่านออกไปทางเอะอะ สอนคนอื่นว่าให้ใช้ไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า แต่ตัวท่านใช้บ้างหรือไม่ ผมไม่ทราบ

     แต่ที่สุด ผมก็มองว่าท่านอาจารย์ส.เป็นบุคคลที่มีค่าของสังคมไทย สำนักพิมพ์ที่ท่านจัดตั้งนั้นเป็นแหล่งปัญญาที่ผมคิดว่าดีที่สุด มั่นคงมายาวนานที่สุด ของบ้านเรา ฝีมือทางการประพันธ์และเป็นบรรณาธิการหนังสือของท่านคือต้นแบบหนึ่งที่ผมใช้อยู่ในชีวิต

     อีกสักสองสามเดือนผมก็คงลืมเหตุการณ์เมื่อค่ำวาน เพราะที่ผ่านมา มีเรื่องที่ถูกด่าหนักกว่านี้ก็ลืมมาเยอะแล้ว ขอกราบนมัสการแลกเปลี่ยนเท่านี้แหละครับ

               อีกมุม....

บทความนั้น อ.สุลักษณ์ฝากผมมาลงประชาไท และผมก็ทราบข้อมูลเกี่ยวกับอธิการ มจร.เท่าที่มีตามบทความนั้น ก็ยังไม่กล้าแสดงความเห็นอะไร แต่ก็คิดว่า การที่ อ.สุลักษณ์ ออกมาเรียกร้องให้ตรวจสอบปัญหานี้ทั้งหน้าสื่อและมีหนังสือถึงผู้รับผิดชอบทั้งฝ่ายพระสงฆ์และหน่วยงานราชการ ก็เข้าใจว่าท่านคงมีข้อมูลที่พร้อมจะพิสูจน์ในกระบวนการไต่สวนหรือการจะถูกฟ้องกลับ.

แต่ความเห็นของ อ.สมภารที่ท้วงติงบทความ อ.สุลักษณ์นั้น แม้จะใช้ "ภาษาสุภาพ" อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ตามแบบแผนวัฒนธรรมไทย แต่เนื้อหามีการระบุถึงความเป็น "คนใน" (อ.สมภาร) และเหมือนว่า อ.สุลักษณ์เป็น "คนนอก" อีกทั้งตีความว่าพระสงฆ์คงคิดว่า อ.สุลักษณ์ไม่มี "ความเป็นผู้ใหญ่" พอที่จะเป็นโจทก์ที่น่าเชื่อถือ.

พูดตรงๆ คือ อ.สมภารเห็นว่า อ.สุลักษณ์มีข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ และเขียนบทความออกมาแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ.

ฉะนั้น โดย "เนื้อหา" ของความเห็นของ อ.สมภารจึงถือว่า "แรง" (ในความหมายว่า แทนที่ อ.สมภารจะเรี...ยกร้องให้มีการตรวจสอบ กลับติงคนที่กล้าออกมาตรวจสอบ ยิ่งหากอาจารย์สมภารเชื่อว่าข้อมูลของ อ.สุลักษณ์ไม่น่าเชื่อถือยิ่งควรสนับสนุนให้อธิการบดี มจร.ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง).

หากคิดจากมุมของ อ.สุลักษณ์ที่เป็นคนซีเรียสกับการตรวจสอบทั้งเจ้าทั้งพระมาตลอดเป็นเวลายาวนาน และคิดจากข้อเท็จจริงว่า อ.สมภารเป็นนักวิชาการทางพุทธศาสนาที่มีผลงานเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผมคิดว่านี่อาจเป็นเหตุที่ อ.สุลักษณ์พูดออกไปแบบนั้น.

         และสุดท้ายท่านจันทร์ ได้ประพันธ์ไว้ว่า

ภูผาหิน เนิ่นนาน แน่นหนัก
คือสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้หาญกล้า
ลำธารใส ไหลซ่าน ผ่านศิลา
คือสมภาร พรมทา ผู้อาทร

หมายเลขบันทึก: 561779เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014 12:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2014 12:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท