คือ.....รัก
คือ....รัก
ฉันไม่คิดที่จะเชื่อในความรักอีก เมื่อฉันได้พบกับความวิบัติของความรัก หลายอย่างทำให้ฉันขยาดที่จะมีความรัก หรือต้องพบปะกับความรัก แม้แต่จะทักทายกับความรัก ความรักไม่ใช่สิ่งสวยงามสำหรับฉันอีกต่อไป ความรักทำให้ฉันจมปรักกับความซึมเศร้าในใจความทุกข์เป็นเวลานับปี แต่เวลาก็ช่วยเยียวยาและรักษาความบอบช้ำในใจ ให้แก่ฉันถึงแม้ว่าจะไม่หายสนิทในทันที แต่เวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มาก จนเมื่อเวลาผ่านไปฉันจึงใช้เวลาที่มีอย่างปกติเหมือนบุคคลทั่วไป ฉันยังคงทำงานทำหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติได้อย่างเฉกเช่นเคยต้องขอบคุณเวลา ที่ช่วยขัดเกลาเอาความเขลาไปจากจิตใจที่บอบช้ำได้เป็นอย่างดี ณ วันนี้ฉันเริ่มเปิดตัวเองให้กลับออกมาจากโลกสีเทา ที่ต้องอยู่ในโลกที่อุปโลกน์ขึ้นมาและตัวฉันเองเป็นผู้กำหนดเท่านั้น นั่นก็คือ โลกโซเซียลที่ฉันช่ำชองในการท่องเที่ยวอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
“เฮ้ย ! นี่แกนั่งทำอะไร ไปๆ กินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว” ใบบัวเพื่อนสนิทเข้ามาตบไหล่แล้วชักชวนให้ฉันไปรับประทานอาหารในช่วงพักเที่ยง “แกทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วไง๊ ! ” ใบบัว ค้อนวงใหญ่ก่อนจะลอยหน้าลอยตาตอบกลับมา “ย่ะ ! แม่คนช่างฝัน มันเที่ยงแล้ว ฉันหิว งานเอาไว้ก่อนบ่ายก็ทัน วันนี้หัวหน้าไม่อยู่” ฉันขำกับท่าทางกวนๆ ที่ไม่สนของหล่อนนัก แต่ก็ลุกตามไปทันทีก่อนที่หล่อนจะโมโหหิว “วันนี้หัวหน้า ไปไหนเหรอ ใบบัว ฉันไม่เห็นแต่เช้าแล้วเนี่ย” “หล่อนจะรู้อะไรกะเขาบ้างมั้ยเนี่ย หัวหน้าอ่ะ ไปอบรมอีกหลายวันกว่าจะกลับ” “อ้อเหรอ แฮ่ๆๆๆ ก็ฉันไม่รู้นี่ ฉันไม่ได้เป็นแฟนกะหัวหน้านี่น่าฮ่าๆๆๆๆๆ” ใบบัวค้อนอีกวงใหญ่ “ปากดีนะแก เดี๋ยวมีใครได้ยิน เดี๋ยวจะขำไม่ออก เล่นของสูงนะย่ะ”
ใบบัวเป็นเพื่อนในที่ทำงานด้วยกันแต่ฉันไม่เคยเล่าหรือสนทนาเรื่องส่วนตัวให้เธอฟังเลย เพราะฉันคิดว่าในเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สมควรที่จะนำไปเล่าสู่ใครฟัง เพราะมันไม่เป็นการสมควรที่จะรับรู้ฉันไม่ต้องการให้ใครมาแสดงความสงสารหรือความเห็นใจแค่ต่อหน้า แต่เวลาลับหลังซุบซิบนินทา เป็นเรื่องสนุกปากนั่นเอง บางครั้งเมื่อความเศร้ามาเยือนฉันก็มักที่จะมีน้ำตาเป็นเพื่อนบ่อยๆ
ฉันไม่คิดที่จะเชื่อในความรักอีก บ่อยครั้งที่ใบบัวแสดงท่าสงสัยแต่เมื่อฉันไม่เล่าไม่พูดใบบัวจึงไม่กล้าที่จะถาม “เออ บัวทำงานที่นี่มานานหรือยัง ชั้นไม่เคยถามแกสักที” ใบบัวหันมามอง “แล้วทำไมเพิ่งมาถามล่ะ ฉันจะย้ายแล้วนะแก” ฉันยิ้มแก้เก้อ “ก็ฉันเพิ่งจะอยากรู้ว่ะ แก” ฉันแสร้งตอบอย่างนั้นเอง ไม่ใช่เพราะอะไรแต่มันเป็นเพราะว่าฉันไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่อง ที่เจ็บลึกๆ ในใจมาเกือบ 2 ปีนี่ตะหากล่ะ “แหม ! ตอบหน่อยดิ อยากรู้แล้วทำไมจะย้ายล่ะนี่ บัว” ใบบัวหันมองค้อนให้อีก ก่อนที่จะอารัมภบทสาธยายยาวยืดมาว่า “ฉันอยู่ที่นี่มานานแหละ ประมาณ 4 ปี ได้แล้วมั่งเหอะ ก็เลยเบื่อเดินทางลำบากด้วย อยากย้ายกลับไปดูแล แม่ บ้างแต่ที่นี่ก็ดีนะ ฉันอยู่มาจนชินแล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ เหนื่อยว่ะ เดินทางตลอดสู้น้ำมันรถไม่ไหว” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจกับปัญหาของใบบัว “แล้วแกล่ะ ไม่คิดจะย้ายบ้างหรา ถ้าครบ 2 ปี ฉันว่าแกต้องมาหาที่ย้ายแน่ๆ เอาใกล้ๆ บ้านเลยแก เชื่อฉัน” ฉันจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเอาเป็นว่าตามนั้น ในสมองของฉันคิดเหมือนกันในเรื่องย้ายที่ทำงาน แต่ว่าในการเขียนแต่ละครั้งเราก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ โรงเรียนที่เราอยากจะเขียนย้ายหากว่าอัตราที่นั่นไม่ว่างตรงกับเอกวิชาของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะย้ายลงไปที่นั่นได้ตามความต้องการ
แต่ก็ช่างโชคดีเหลือเกินเมื่อฉันได้มีโอกาส ไปอบรมยังโรงเรียนแห่งหนึ่งทำให้ฉันทราบข่าวภายในคร่าวๆ ว่ามีครูบางท่านถึงวาระของการทำงานได้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมนี้
และจากการสอบถาม ผู้มีความรู้ในสถานศึกษาแห่งนี้ก็บอกว่าจริง ฉันรู้สึกดีใจมากๆ เพราะนับว่าเป็นการดีที่ฉันจะได้เดินใกล้กับบ้านเข้ามาอีกนิด แต่จะย้ายเข้าไปสอนในเมืองเลยนั้น เห็นทีว่าจะไม่เด็ดขาดเพราะว่าฉันยังไม่เก่งขนาดนั้นฉันต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์สอนอีกมากมายถึงจะปีกกล้าขาแข็งในการโลดแล่นบนสังเวียนของการสอนได้
ตื๊ดๆๆๆ เสียงวีแชท การติดต่อสื่อสารอีกระบบที่ชั้นมีเอาไว้เพื่อ แชทหรือเม้ามอยกับเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้รัศมีที่ฉันเปิดออน เสียงทักทายจากใครบางคนที่ฉันไม่รู้จักดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงตัดสินใจตอบกลับไป เขาชื่อ น๊อต ชื่อเต็มๆ คือ ธิณัฐ แก้วจงใจ เป็นทหาร ( เฮ้อ ! ทหารอีกแล้ว แหวะ ) ฉันคิดในใจ “โคตรจะเบื่อ ไอ้ ! พวกทหารชีกอ ทั้งหลาย ” ฉันบ่นในใจอีกระรอก แต่คราวนี้เป็นทหารแพทย์ ฮึ ! ทหารก็เหมือนกันหมดแหละ จะทหารอะไรก็แล้วแต่ ขึ้นชื่อว่าทหารก็เจ้าชู้เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ฉันคิด ข้อความยังมีส่งต่อมาอีกระรอก “อยู่มั้ยคร้าบบบ”ฉันจึงพิมพ์ตอบกลับไป “อบรมอยู่ค่ะ ง่วงมว๊ากกกกก” ปลายทางตอบกลับมาทันที “น่าสงสารจัง” “น๊อตครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เออ คนนี้ท่าทางฉลาดแฮะ ไม่ถามชื่อเพราะปกติจะชอบถามชื่อ ถามอายุกันเป็นสเต็บน่ารำคาญมากทั้งๆ ที่ชื่อของวีแชทก็เขียนบอกชื่ออยู่แล้ว ก็ยังจะถามชื่อให้รำคาญใจอยู่นั่น ฉันยังค่อนแคะอยู่ในใจไม่เลิก เราคุยกันอีกสักพักฉันจึงพิมพ์ตอบไปว่า “จะเลิกอบรมแล้วนะ จะกลับบ้านแล้ว บายค่ะ”
หลังจากนั้นฉันกับใบบัวก็ไปลั้ลลากันที่ห้างเล็กๆ ในย่านนั้นเดินห้างเสร็จเราก็ไปเดินช๊อบและชิมในตลาดสดยามเย็น ชมโน่น นี่ นั่น กันอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้า เพราะว่าเสื้อผ้าจะเป็นของคู่กันกับสาวๆ อย่างเรานั่นเองจนเวลาล่วงเลยผ่านไปไวเหมือนโกหก อุ๊ย!! ต๊าย ตาย จะหกโมงเย็นแล้วนี่น่า ชั้นจึงสะกิดเพื่อนสาวจอมช๊อบทันที “นี่ๆ บัวๆ ใจคอแกจะเดินยันมืดเลยรึไง กลับกันเหอะ ไว้ว่างๆ เราค่อยมากันใหม่” ใบบัวพลิกข้อมือมองนาฬิกาแล้วยิ้มจนตาหยี “แหมๆๆ แม่คนติดบ้านเลยเวลานิดหน่อยไม่ได้เลยรึไง จ๊ะ” ชั้นยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี “ย่ะ ก้อชั้นมีงานต้องทำงานนี่น่า เดียวต้องไปสรุปงานที่เรามาอบรมในวันนี้อีก กลับเหอะ แก ชั้นเดินจนเมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย” ใบบัวพยักหน้า เราจึงเดินไปยังรถพร้อมกันตามปะสาสาวโส๊ด โสด
เมื่อนั่งในรถฉันได้เปิดใช้สัญญาณอินเตอร์ 3G ตามปกติ ข้อความวีแชท ตื๊ดๆๆๆ
ดังไม่ขาดสายเข้ามาอีก “เช๊อะ! อีตาทหารหน้าแป้น ทักเข้ามาอีกแหระ” ฉันนึกบ่นในใจ แต่ก็พิมพ์ตอบข้อความนั้นไปตามมารยาท เพราะคิดว่าใครจะมาคุยกับเราได้นานเพราะหน้าตาก็ไม่เคยเห็นคุยแค่ในโลกโซเซียลเท่านั้นคงไม่เป็นไร การได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในนี้ก็ช่วยให้เรามีทัศนคติที่แตกต่างมากขึ้น เมื่อคิดได้ดังนี้ฉันจึงพูดคุยสนทนาโต้ตอบกับบุรุษแพทย์ทหารทันทีแทบจะทุกวันที่มีเวลาว่าง วันนี้ก็เช่นกัน “คุณครู ทำอารายอยู่ ทานข้าวหรือยัง” ฉันค่อยตอบข้อความไปว่า “ยังค่ะ คุงทหารทานหรือยัง” เขาจึงตอบกลับมาทันที “ทานแล้วครับ” ใบบัวชำเลืองสายตามองแล้วยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยแซวชั้นว่า “แหมๆ ดังตลอดเลยนะ เนื้อจริงไรจริง อิ อิ อิ อิ ” ใบบัวหัวเราะ พลางยิ้มล้อเลียน “เดี๊ย! เหอะ ใบบัวมันไม่ใช่แบบที่ หล่อนคิดย่ะ ชั้นเพิ่งคุยกันนะ” ใบบัว “หราๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ชั้นได้แต่หัวเราะตามกับท่าทีของใบบัว ไม่นานรถของเราก็มาถึงยังหน้าบ้านของชั้น “พรุ่งนี้เจอกันนะ ใบบัว” ชั้นก้าวลงรถแล้วรีบข้ามถนนเพื่อเข้าบ้านทันที ช่วงเย็นๆ แบบนี้รถค่อนข้างเยอะเพราะเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เลิกงานกันนั่นเองจึงไม่แปลกที่จะมีรถน้อยใหญ่หลากหลายยี่ห้อวิ่งขวักไขว่ทั้งไปและกลับเต็มท้องถนนไปหมด เหมือนดังเช่นวันนี้นั่นเอง
เช้าที่สดใสของอีกวันชั้นยังคงต้องตื่นแต่เช้าในวันทำงาน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ตื่นไม่กี่นาที ใครนะ ช่างทักเข้ามาเช้าได้ขนาดนี้ ชั้นคิดในใจแต่มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่ทักมาในวีแชทนั้น “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ชั้นรีบตอบกลับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทและรีบอาบน้ำทันที ไม่รีบได้ไงวันนี้ต้องนั่งรถโดยสารไปทำงานเองใบบัวไม่มารับเหมือนเคยเพราะวันนี้ใบบัวต้องไปทำธุระ บางอย่างนั่นเองชั้นจึงไม่สามารถทำตัวตามสบายตอบแชทข้อความได้ยาวๆ เหมือนที่เคยทำ เพราะในเวลาที่เร่งรีบแบบนี้เราจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้นั่นเองไม่งั้น ตกรถแหง๋ๆๆ พอได้เวลาก็สะพานเป้คู่ใจรีบตรงไปรอรถยังที่รอรถโดยสารไม่ประจำทางทันที วันนี้เหมาะแก่การทำงานเสียจริงๆ ชั้นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนต้นหญ้าที่ต้องหยดน้ำค้างในยามเช้าก็ไม่ปาน ในโลกของชั้นช่างสดใสขึ้นอย่างทันตาเห็น ชั้นจินตนาการไปไกลว่า เราจะเป็นคู่รักที่มีความสุขที่สุดในโลก ถึงแหมว่าเราจะอยู่ไกลกันมากก็ตามที มันจะเป็นเริ่มชีวิตเริ่มความรักครั้งใหม่ที่มีความสุขอบอวลไปด้วยความรักที่แท้จริง แต่โลกโซเซียลมีหลากหลายวิธีที่จะติดต่อกันเหมือนการย่อโลกที่กว้างใหญ่ลงมาไว้ในมือของเรา หย่อนระยะเวลาแห่งความคิดถึงลงมาได้อย่างมากมาย สมัยนี้ความคิดถึงอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วสัมผัส คุณๆ ว่ากันไหม ขั้นตอนในการติดต่อกันก็สุดแสนจะง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีกทุกอย่างกำลังเป็นไปได้อย่างสวยงามทุกอย่างค่อยๆ ดำเนินไป โดยที่ตัวฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องพบกับอะไรบ้างนับแต่นี้จากไป
เราคุยกันได้ประมาณ สองเดือนเศษๆ เขาก่อขึ้นมาใต้เพื่อพักผ่อนจึงเป็นเหตุใหเราได้พบกัน ธิณัฐ จึงถือเอาโอกาสนี้นัดพบ ศลิษาทั้งที “ตื๊ดๆๆๆๆ” “ฟ้า ครับวันนี้ น๊อตว่าง อืม ไม่ทราบว่า คุณครูว่างมั้ยครับ ไปหาอะไรทานกันนะครับ” ฉันนิ่งคิดแป๊บนึงจึงตอบเขาไปว่า “พอดี ฟ้ามีประชุมในช่วงเช้าบ่ายๆ คงเลิก น๊อตรอได้มั้ยค่ะ” น๊อต “ได้ซิ อยู่ใต้ยังรอได้ตั้งนานแค่นี้เอง ถ้าคุณครูประชุมเสร็จบอกนะครับ น๊อตจะรีบไป” “งั้นตกลงตามนี้นะค่ะ แล้วฟ้าจะบอกอีกทีนะค่ะ ว่ากี่โมงแน่” เมื่อชั้นประชุมเสร็จเราได้โทนัดหมายเพื่อรับประทานอาหารให้สร้างสัมพันธ์สายสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาน่ารักมากๆๆ แค่มองแว๊บเดียวเพียงแผ่นหลัง แม้ว่าไหล่นั้นจะไม่กว้างมากแต่ก็พอให้เรารู้ได้ว่า ชายคนนี้จะสามารถปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเราได้แน่นอน ชั้นยืนอมยิ้มให้กับตัวเอง นี่ใช่มั้ยเขาเรียกว่า การออกเดท มันช่างตื่นเต้นเหลือเกินยังคงโทชั้นเป็นระยะ ๆ เพราะเราไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนนั่นเอง “ถึงไหนแล้วครับ ผมรอที่ร้านหนังสือนะครับ” ฉันตอบไปว่า “มาถึงแล้วค่ะ งั้นเดี๋ยวเจอกันค่ะ” บอกตรงๆ เลยนะตอนนี้ฉันตื่นเต้นมากๆ ยิ่งกว่าสาว 18 อีกมั้งที่ตื่นเต้นเพราะว่าฉันจะได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งแรกนั่นเอง เขาคงไม่รู้ตัวหรอกว่าฉันมายืนอยู่ด้านหลังแอบมองแผ่นหลังและไหล่กว้างๆ อย่างพิจารณานั้น ราว 3 นาทีเห็นจะได้ฉันพยายามสะกิดแต่เขาหาสนใจไม่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมือเฉยราว กับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คราวนี้ฉันจึงเคาะที่ไหล่ให้หนักขึ้นทันที
คราวนี้ได้ผลแฮะ เขาหันขวับมายิ้มให้ ดวงตาของเขาสวยมากๆๆ ทั้งกลม ทั้งโต นัยน์ตาใสแจ๋วแต่มีรอยยิ้มอยู่ในนั้น หัวใจของฉันแทบจะหยุดเต้นเอาเลยทีเดียวเขาเป็นบุรุษที่ตาสวยมากๆ สวยจนฉันแอบปลื้มเล็กๆ เลยทีเดียว ฉันอมยิ้มเอียงคอถามออกไปว่า “หิวมั้ยค่ะ ไปทานเลยมั้ย” เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ “ดูหนังสือไรก่อนมั้ย” ฉันพยักหน้าตอบ แล้วเดินนำไปยังชั้นหนังสือโปรดทันทีชี้ให้เขาดูว่าชอบมานั่งอ่านตรงนี้ประจำ แล้วก็ไม่ซื้อบางทีก็อ่านจนจบเล่มก้อมี เขายิ้มในท่าทางของฉันอย่างเอ็นดู เราเดินดูหนังสือต่างประเดี๋ยวเดียวก็ไปทานอาหารบนศูนย์เขาถามขึ้นว่า “ฟ้าอยากทานอะไร สั่งตามสบายเลยนะ เดียวหมอขอไปสั่งนี้ละกันนะครับ หิวมากไม่ทานข้าวเช้ามาด้วย” ฉันยิ้มแล้วเดินเลือกอาหารที่ตัวชอบทันทีในที่สุดก็ได้ ก๋วยเตี๋ยวมาคนละชาม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหิวมาจึงเดินไปสั่งข้าวมันไก่มาอีกจาน โอ้ว! แม่เจ้า
ฉันทำหน้าทำตาล้อเลียนเขาทันที เมื่อทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยเราก็เดินลงไปชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าทันที เพื่อที่จะรับประทานไอศกรีมต่อ เมื่อเราทานไปคุยไปความเพลิดเพลินเดินทางไปกับเราทั้งสองคนทันที งานนี้จึงทำให้เราทั้งสองคนพลาดที่จะได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องดีๆ ไปเลยทีเดียวเรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยจนถึงเย็น ธิณัฐ จึงบอกกับศลิษาว่า “ฟ้าเห็นทีวันนี้ ผมคงต้องกลับก่อนนะ เดี๋ยวจะไม่มีรถกลับเข้าบ้าน” ฉันจึงพยักหน้ามองนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าเป็นเวลา 16.00 น. แล้วนี่น่า “งั้นเดี๋ยวฟ้าพาไปส่งที่ บขส. ละกันนะ” เขาพยักหน้ารับทันที “ แต่ว่า หมอต้องขับเองนะค่ะ” เขาทำหน้าเหวอทันที “ มั่นใจแล้วใชมั้ย เพราะหมอไม่ได้ขับรถมานานแล้วนะ” ฉันรีบตอบทันที “ เอาน่า ไม่ลองไม่รู้นะ” ฉันยิ้มขำกับท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเขาพอสักประเดี๋ยวเขาก็สามารถขับรถได้ปร๋อเชียว โดยมีฉันเป็นสาวสก๊อยห้อยท้ายไปด้วยแต่เขาก็ไม่ได้ขับเร็วนักค่อยๆ ไปคุยกันไปตลอดทางเฮฮาสนุกสนานเหมือนรู้จักกันมาแสนนาน
ซึ่งวันนี้ก็จบไปอีกหนึ่งวันพร้อมด้วยความสุขอย่างมากมาย บวกความประทับใจของคนทั้งสองคนที่ได้พบกันเป็นครั้งแรกแต่กลับคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานานนับปีเลยทีเดียว
ในเย็นของวันนั้น ธิณัฐ ยังคงส่งข้อความมาขอบคุณที่ ศลิษา ออกไปพบตามนัด พูดคุยอย่างไม่ถือตัวเหมือนที่เขาได้มโนภาพของเขาและที่สำคัญเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากในสายตาของเขา
ในที่นี้ มันไม่ได้แปลว่า เธอหน้าตาสะสวย แต่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยงามและน่ารักที่จิตใจ เมื่อศลิษาได้ยินคำพูดที่ ธิณัฐ กล่าวออกมาเช่นนี้ก็เขินไม่หยุดไปเลยจากที่เคยเป็น “เท่าที่คุยกันมาตลอดเวลานั้น หมอคิดเสมอว่า ฟ้าต้องน่ารักมากๆ แต่วันนี้ที่หมอเห็น ฟ้าไม่ใช่แค่สวย แต่ฟ้าสวยและน่ารักที่จิตใจ ใจของฟ้าสวยมากๆ หมอบอกตรงๆ เลยนะ หมอชอบฟ้าครับและประทับใจฟ้ามากๆ” ศลิษาอมยิ้มฝันหวานทีเดียว ฉันนึกเห็นดวงตากลมโตคู่นั้นขึ้นมาทันทีฉันยิ้มให้กับตัวเอง ความว่างเปล่าที่เคยมีอยู่ในหัวใจของฉันกำลังจะถูกเติมเต็มจาก เจ้าของดวงตาสวยๆ คู่นั้นฉันบอกกับตัวเองเบาๆ มีความสุขกับชีวิตกว่าทุกๆ วัน เหมือนกับว่า ความสุขทุกอย่างโลกทั้งโลกได้หยุดหมุนชั่วคราวแต่ได้หยุดเวลาเอาไว้ที่ฉันและเขาแค่ตรงนี้เท่านั้น นานแล้วซินะ ที่ฉันไม่เคยได้รับความรักหรือความชุ่มชื่นหัวใจมานานมาก มากจนหัวใจเกือบจะด้านชาไปแหละสำหรับความรักแต่เขาคนนี้กำลังมาต่อเติม มาปลุกความรักที่หลับใหลไปชั่วคราวให้ตื่นขึ้นมารับแสงอรุณของหัวใจนั่นเอง ความสุขของคนทั้งสองเป็นอันต้องสะดุดเมื่อ ธิณัฐ มีคำสั่งให้ไปราชการอีกครั้ง หัวใจของฉันกระตุกวูบลงไปเลยทีเดียว
และแล้วช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายก็มาถึงเมื่อ คำสั่งนั้นมีชื่อของ ธิณัฐ ปรากฏอยู่ในคำสั่งนั้นด้วยและที่สำคัญ ธิณัฐ ต้องเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมเดินทางตลอดเวลาแต่สิ่งที่ทำให้เขาหล่อมากๆ คือ เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดกล่าวกับฉันก่อนที่จะเดินทางว่า การเดินไปราชการในครั้งนี้เขาอาจไม่รอดปลอดภัยกลับมา เขาขอร้องให้ฉันหาคนดูแลฉันได้ ไม่ต้องรอเขาไม่ต้องสนใจอะไรเขาอีก น้ำใสๆ ไหลรินทันทีความสุขที่เคยอยู่ตรงบัดนี้สลายไปในบัดดลเพียงแค่ลมพัดวูบเดียว น้ำตาแห่งความพลัดพรากเอ่อท้นขึ้นมาเรื่อยๆ ไหลเอื่อยๆ มึนงง กับคำบอกเล่าของเขา ฉันซึมเศร้ากับเรื่องที่ได้รับฟังจาก ธิณัฐ เริ่มนับถอยหลังกับการเตรียมพร้อมของเขา และคำถามหลายๆ อย่างก็ปลิวว่อนเข้ามาในสมองทีละน้อยๆ จนแทบจะไม่มีที่ว่าง ทุกครั้งที่ฉันเริ่มที่จะมีความสุขกับชีวิตทำไมต้องพบกับความปวดร้าวแบบนี้ ฉันไปทำกรรมอะไรไว้จึงเป็นเหตุให้ต้องพบกับความโหดร้ายของความรัก มาทำให้รู้จักกับความรักแล้วต้องพบกับคำว่า พลัดพราก ซึ่งความพลัดพรากนั้นก็แขวนเอาไว้บนเส้นลวดที่พร้อมจะเป็นตัวล่อไฟฟ้าตลอดเวลา ฉันเองก็เข้าใจในเรื่องของความตายว่าใครๆ ก็ต้องเจอแต่สำหรับเขา เขาเป็นคนดี ดีมากๆ มีเหตุผล ใส่ใจ มีความห่วงใยให้กันตลอดเวลาด้วยเหตุนี้นี่เองจึงทำให้ฉันรับรู้และรับทราบโดยไม่ต้องคิดมากหรือต้องลังเลที่จะรักตอบเขาไป แต่ในวันนี้ฉันต้องหยุดทุกอย่างเพื่อเขาจะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ฉันตัดสินใจทำตามที่เขาบอกทันทีฉันเงียบไม่สนทนาโต้ตอบกับเขาอีกเลยตามที่เขาต้องการและแล้ววันเวลาก็กลับมาเป็นเพื่อนแท้ให้กับฉันอีกจนได้
คราวนั้นฉันดี๊ด๊า โบกมือบ๊าย บาย ให้กับมันแต่บัดนี้ซิ มันกลับยิ้มกว้างพลางกวักมือเรียกฉันให้เดินเข้าไปซบอกของมันเพื่อพักพิง ความบอบช้ำของจิตใจสภาพนี้ดูท่าแล้วฉันคงต้องพึ่งมันอีกนานเลยทีเดียวและไม่หวังที่จะทอดทิ้งไอ้เจ้าพวกนี้ไปไหนซะด้วยซิ ฉันจึงตั้งใจทำงานปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อทดแทนคุณของแผ่นดิน หันหลังให้ความรักอีกครั้งโดยไม่ฟังคำคัดค้านของอะไรอีก เพราะนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเดินถอยหลังออกมาคราวนี้ฉันจะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังให้หนักขึ้นไปอีก เพื่อหัวใจจะได้ไม่ต้องก้าวพลาดขึ้นมาอีกแต่ฉันก็มีความสุขกับความรักในครั้งนี้นะ มันทำให้ฉันได้รับรู้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เราก็ควรที่จะมีความตั้งมั่นในความพอเพียง ความเสียสละ ฉันดีใจที่ได้รู้จักคุณนะ ธิณัฐ และไม่เคยเสียใจที่คุณตัดสินใจแบบนั้น ขอบคุณเวลาที่ทำให้เราได้มารู้จักและรักกันแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ฉันขอให้คุณโชคดีมีความสุขกับการทำงานนะค่ะ โชคดีค่ะ จาก ฟ้า ผู้หญิงสวยที่ใจ!!!!!!
ความเห็น (3)
เป็นกำลังใจนะคะ...ฟ้าผู้หญิงที่สวยที่ใจ...การมีความรักในปัจจุบันของชายหญิงก็ไม่ได้แตกต่างจากสมัยโบราณเพียงแต่รวดเร็วกว่า...สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง...เปิดกว้างกว่าให้ผู้คนที่อยู่ในที่ต่างๆบนโลกใบนี้ได้มาพบกันบนโลกออนไลน์ ทำให้ประหยัดมากกว่า เพราะไม่ต้องผ่านแม่สื่อ พ่อสื่อแนะนำนะคะ...
ชีวิตบนโลก ของ หนุ่มสามัญขยันรั่ว
เป็นกำลังใจให้เสมอน่ะครับ คุณครูฟ้่า
"เวลาจะช้า จะเร็ว มันอยู่ที่จิตใจขอเราเป็นตัวกำหนด
ไม่ใช่อย่างไรอื่น..." ครับ
ขอบคุณทุก Comment เลยค่ะ จะพยายามเขียนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ เป็นเรื่องจริงผสมมโนค่ะ