๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ เป็นอีกครั้งที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งองค์กรนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๗ ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารกองกิจการนิสิต บุคลากรกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต คณะกรรมการกลางจากนิสิต และผู้สมัครลงรับเลือกตั้งจาก ๒ กลุ่ม คือกลุ่มนิสิตพลังสังคม และกลุ่มนิสิตมอน้ำชี
โดยหลักๆ แล้วในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานตามระบบและกลไก PDCA (Plan-Do-Check-Act) เป็นที่ัตั้ง ซึ่งมุ่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการนำปัญหาจาก “อดีตและปัจจุบัน” มาร่วมคิดและร่วมตัดสินใจร่วมกัน เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่น คล่องตัวและบรรลุซึ่งวัตถุประสงค์การจัดการเลือกตั้ง
สำหรับผมแล้ว ผมยังคงปักธงให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำนโยบายของแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละพรรค โดยเฉพาะการสะท้อนให้เห็นว่าในรอบปีการศึกษาที่ผ่านมา กลุ่มนิสิตที่ชนะการเลือกตั้ง ยังไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ตาม “นโยบาย” ที่หาเสียงไว้ มิหนำซ้ำกิจกรรมที่จัดขึ้น มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่สัมพันธ์กับนโยบายที่ป่าวประกาศไว้ เสมือนสร้างภาพสวยหรู ขายฝันแต่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ แถม “สภานิสิต” ก็ไม่มีกระบวนการตรวจสอบว่าสิ่งที่ทำเป็นไปตามนโยบายหรือไม่ ยิ่งพลอยให้ภาพฝันก่อนการเลือกตั้งกับภาพความจริงหลังการเลือกตั้งเป็นหนังคนละม้วนกันเลยก็ว่าได้
แน่นอนครับ ถึงแม้การเลือกตั้งองค์การนิสิต จะไม่ได้ยิ่งใหญ่ เอาเป็นเอาตาย หรือชี้เป็นชี้ตายเหมือนการเลือกตั้ง ผู้ใหญ่บ้าน-อบต- สจ- สว,- สส. ในสังคมจริงก็เถอะ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ละเลยไม่ได้ ไม่พูดไม่ย้ำเลยก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการส่งเสริมให้นิสิตกลายเป็นพลเมืองที่ไม่รับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตัวเองแบบกรายๆ ไปในตัว และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการบั่นทอนเรื่อง "จิตสาธารณะ" ในระดับบุคคลและสังคมไปในตัวด้วยเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งในรั้วมหาวิทยาลัยฯ จึงเป็นการเรียนรู้ครรลองชีวิตตามวิถีประชาธิปไตย เรียนรู้โครงสร้างทางสังคม เรียนรู้เรื่องหน้าที่ เรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิตบนวิถีของคำว่าแพ้-ชนะ และอื่นๆ อีกจิปาถะ
และนอกจากนี้แล้ว ผมยังสะท้อนแนวคิดอย่างตรงไปตรงมาในสไตล์ “จริงจัง จริงใจ” ต่อนิสิต เป็นต้นว่า
อย่างไรก็ดีในสิ่งที่สะท้อนไปนั้น ยืนยันว่าเป็นข้อเสนอแนะกว้างๆ ไม่ได้บังคับกะเกณฑ์ให้นิสิตทำตามแนวคิดของผม หากแต่พยายามสื่อให้เห็นว่าภายใต้องค์กร หรือบ้านหลังเดียวกันนั้น การจะทำอะไรสักอย่าง ย่อมควรต้องคิดคำนึงถึงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างร่วมกัน มิใช่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำไปคนละมุมคนละทิศ เสมือนไร้ยุทธศาสตร์นั่นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมเองก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมว่าสิ่งที่นิสิตได้คิดและบัญญัติเป็นนโยบายนั้น “ดีอยู่แล้ว” เพียงแต่หากสามารถปรับแต่งให้สัมพันธ์กับนโยบายของมหาวิทยาลัยได้ยิ่งดี รวมถึงหากชนะเลือกตั้งแล้ว ต้องทำในสิ่งที่ป่าวประกาศไว้ หรือแม้แต่แพ้เลือกตั้ง ก็อย่าละทิ้งที่จะทำในสิ่งที่ป่าวประกาศไว้
ครับ, ค่อยมาดูกันอีกทีว่าสิ่งที่โสเหล่ร่วมกันในวันนี้ จะนำไปสู่การปรับแต่งกี่มากน้อย หรือหลังการเลือกตั้งแล้ว กิจกรรมที่จะมีขึ้นสัมพันธ์กับนโยบายที่ป่าวประกาศประชาสัมพันธ์หาเสียงอยู่ในขณะนี้หรือไม่...
เพราะนี่คือการเรียนรู้ที่ไม่ควรละข้ามไปได้ และการเรียนรู้คือกระบวนการเติบโตของชีวิต !
ครับ คุณ ยายธี
หากแต่วันนี้ ในบางสภาวะของผู้ใหญ่ ก็มิอาจเป็นแบบอย่างของเด็กได้เลย...
ยิ่งวันนี้ ยิ่งได้รับรู้ว่าเด็กตัวเล็กๆ ต้องจบชีวิตลงเพราะวิถีการเมืองของผู้ใหญ่ ยิ่งพลอยเศร้าใจ...
ครับ พี่ Dr. Ple
ขณะหนึ่งของผู้คน ก็ไม่พึงใจที่จะเรียนรู้ผ่านปัญหาเดิมๆ เท่าไหร่ มุ่งหน้าตั้งตาทำโดยไม่ถอดบทเรียน สุดท้ายข้ามไม่พ้น ตกหลุมดำเดิมๆ อีกรอบ สูญเสียเวลาและทรัพยากรอย่างน่าใจหาย ครับ...