บันทึกนี้เริ่มต้นขึ้นจากการกระตุ้นความคิดโดยอาจารย์แหวว ว่า "เราต้องหัดถอดบทเรียนในการทำสิ่งต่าง ๆ และการเขียนบันทึกจะทำให้เราได้ไตร่ตรองตัวเองอย่างรอบคอบ".. ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการกระตุ้นที่มีอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ด้วยความดื้อโดยไร้เหตุผล จึงไม่เคยคิดจะทำตามอย่างจริงจัง..
จนกระทั่งเมื่อเราได้มาเห็นตัวเองชัด ๆ ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้างและเราเสียประโยชน์/สร้างความเสียหายทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง อย่างไรไปบ้าง ก็ทำให้คิดได้ว่า เราคงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างเร่งด่วน.. ซึ่งการเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นการรู้จักและยอมรับความจริงของตัวเราเองก่อน จะได้แก้ไข/พัฒนาได้ถูกจุด.. และการบันทึกความคิด/การกระทำของเราไว้ ก็น่าจะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวเราเอง ว่าดีขึ้น หรือแย่ลง.. ดังนั้น จึงเริ่มต้นบันทึกบทเรียนบทที่ ๑ ด้วยประการละฉะนี้.. ชะเอิงเงิงเงย..
----------------------------------
ที่เลือกเปิดม่านของการบันทึกบทเรียนด้วยเรื่อง ความเคยชินของชีวิตกับการทำอะไรแบบไม่เตรียมตัว ก็เนื่องด้วยเหตุผลที่เราคิดว่ามันคือสาเหตุสำคัญของการสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตช่วงเวลานี้
----------------------------------
สิ่งที่สะท้อนภาพความเป็นจริงของตัวเราส่วนนี้มากที่สุด มี ๒ ส่วน คือ ๑. สถานการณ์ความวุ่นวายยุ่งเหยิงของชีวิต ๒. คำเตือนจากอาจารย์แหวว ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เราอย่างตรงไปตรงมา และชัดเจนมาก
๑. สถานการณ์ความวุ่นวายยุ่งเหยิงของชีวิตช่วงนี้ คือ ทำงานที่มีอยู่ในมือไม่ทัน ทำงานช้า ไม่ทำงานตามแผนที่ตกลงไว้ ผลงานไม่มีประสิทธิภาพ ผลงานเป็นการทำเพื่อเสร็จโดยไม่ได้นำไปสู่การต่อยอดงานที่ลงมือลงแรงทำไว้
๒. คำเตือนจากอาจารย์แหวว ที่เกิดจากการวิเคราะห์ตัวเราว่า
- "เราเป็นคนที่ชอบทำอะไรแบบไม่เตรียมตัว ไม่คิดหน้าคิดหลังก่อนทำ ทำไปแบบไม่มีสติ และไม่มีวินัย ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ"
- "สาเหตุที่เราเป็นแบบนี้ เนื่องจากเราคิดมั่นใจไปเองเราว่าเราเก่ง สามารถทำอะไรก็สำเร็จโดยไม่ต้องวางแผนได้"
- "การคิดง่าย ๆ และประมาทแบบนี้ก็น่าจะมาจาก ประสบการณ์การทำงาน/ใช้ชีวิตของเราในอดีต ซึ่ง (๑) โดดเรียนก็สอบผ่าน (๒) มาทำวิทยานิพนธ์ตอนเกือบจะไทร์ ก็ได้ผลออกมาดี.."
จาก ๒ สิ่งนี้ประกอบกันทำให้เราได้ฉุดคิดว่า สิ่งที่อาจารย์แหววเตือนนั้น "จริงมาก" เพราะตลอดชีวิตมีหลายเรื่องในชีวิตของเราที่สำเร็จโดยฟลุ๊ค ๆ และเรามองข้ามความล้มเหลวโดยไม่พยายามค้นหาว่าเพราะอะไร แต่ก่อนหน้านี้เราไม่เห็นตัวเอง หรือแม้จะเห็นบ้างเราก็ไม่ยอมรับความจริง เพราะเราผยองว่าตัวเองเก่ง ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องใช้ความตั้งใจ และความอดทนต่อตัวเองอย่างยิ่ง แต่หากไม่เปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรม เราก็คงจะต้องจมอยู่กับความพ่ายแพ้ตัวเอง
สิ่งหนึ่งที่เราเชื่ออยู่เสมอ คือ คนเราทำได้ทุกอย่าง หากคิดและลงมือทำอย่างจริงจัง ดังนั้น เราต้องเริ่มมี action ของการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ และต้องไม่ย่อท้อ ต้องทำจนกว่าจะสำเร็จ จนกว่าจะก้าวข้ามความคิดโง่ ๆ และพฤติกรรมแย่ ๆ ที่ฝังลึกอยู่ได้
----------------------------------
ดังนั้น เราจะเริ่มการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนี้ด้วย ๑. การเขียนบันทึกวันละเรื่อง เพื่อทบทวนตัวเอง ๒. การอ่านงานเขียนอย่างน้อย ๑ ชิ้นทุกวัน เพื่อเพิ่มความรู้ และ ๓. วางแผนชีวิตก่อนนอนทุกวัน เพื่อจะได้มีเป้าหมายและมีสติ
----------------------------------