(เนื้อหาเขียนลง วารสารกิจกรรมบำบัด)
การเข้าสู่วัยผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆระบบของร่างกาย กระบวนการของภาวะสูงอายุขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของบุคคลที่อยู่ในภาวะสูงอายุ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงในระยะแรกๆของวัยชราจะตรวจวัดได้ยากและมีความแตกต่างระหว่างบุคคลสูง อย่างไรก็ดีเมื่อผ่านไประยะหนึ่งลักษณะบางอย่างจะปรากฏ เช่น ความสูงลดลง ผมขาว ผิวหนังย่น สายตาเปลี่ยน การเคลื่อนไหวด้อยลง เป็นต้น ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงหรือด้อยลงของประสิทธิภาพการทำงานอวัยวะต่างๆจะดำเนินไปภายหลังจากระยะสมบูรณ์สูงสุดในวัยเจริญพันธุ์ เช่น มวลกระดูกลดลง ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง การเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากความชราเกิดขึ้นได้ทั้งกายวิภาคหรือการทำงาน แต่ไม่จำเป็นจะต้องเกิดกับทุกอวัยวะหรือระบบการทำงาน โดยมากแล้วการเปลี่ยนแปลงของการทำงานจะเป็นความเสื่อมถอยของความสามารถสำรอง ดังนั้นในคนสูงอายุที่ไม่เป็นโรคจะมีสุขภาพและความสามารถทั่วไปเป็นปกติแต่เพียงกำลังสำรองจะลดลงโรคที่เป็นปัญหาของประชากรสูงอายุ คือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อและอุบัติเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง อันได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง กลุ่มอาการสมองเสื่อม โรคข้อเสื่อมและการหกล้ม และโรคในช่องปาก เป็นต้น หากขาดการดำเนินงานที่เหมาะสม จะทำให้ปัญหาสุขภาพทั้งการเจ็บป่วยและทุพพลภาพขยายตัว (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2551)
1. ผู้สูงอายุ
ประชากรผู้สูงอายุจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆประกอบไปด้วยกลุ่มที่มีสุขภาพดีและไม่ดีมีและมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ต้องการการดูแลทางสุขภาพและสังคม สำหรับการกำหนดว่า ผู้สูงอายุเริ่มเมื่ออายุเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับความแตกต่างกันในแต่ละสังคม สำหรับสังคมไทยจากพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2553) นั้นกำหนดว่า ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ทั้งนี้ผู้สูงอายุมิได้มีลักษณะเหมือนกันหมดแต่จะมีความแตกต่างกันไปตามช่วงอายุโดยแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุได้ 3 กลุ่มคือ
1. ผู้สูงอายุวัยต้น (อายุ 60-69 ปี)เป็นช่วงที่ยังมีพลังช่วยเหลือตนเองได้
2. ผู้สูงอายุวัยกลาง (อายุ 70-79 ปี) เริ่มขึ้นสู่วันเสื่อมกล่าวคือ เริ่มมีอาการเจ็บป่วย ร่างกายเริ่มอ่อนแอ มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง
3. ผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ 80 ปีขึ้นไป)เข้าสู่วัยเสื่อม เจ็บป่วยบ่อยขึ้น อวัยวะเสื่อมสภาพ อาจมีภาวะทุพพลภาพ
การแบ่งผู้สูงอายุเป็น 3 ช่วงดังกล่าว สำหรับในสังคมไทยยังมิได้มีข้อสรุปว่าจะมีการจัดประเภทของผู้สูงอายุในลักษณะใด การจัดโดยใช้เกณฑ์อายุก็ยังมีข้อถกเถียงว่ายังไม่เหมาะสม นักวิชาการบางท่านจึงใช้เกณฑ์ความสามารถของผู้สูงอายุแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. กลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองได้ดี
2. กลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง
3. กลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ
การแบ่งประเภทของผู้สูงอายุอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ โดยนักชราวิทยาแบ่งช่วงสูงอายุ (ศรีเรือน แก้วกังวาล, 2540) ออกเป็น 4 ช่วงคือ
1. ช่วงไม่ค่อยแก่ (the young-old)อายุประมาณ 60-69 ปีเป็นช่วงที่ต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นภาวะวิกฤตหลายด้าน เช่น การเกษียณอายุ การจากไปของมิตรสนิท คู่ครอง โดยทั่วไปยังเป็นคนที่แข็งแรงแต่อาจต้องพึ่งพิงผู้อื่นบ้าง สำหรับบุคคลที่มีการศึกษา รู้จักปรับตัวยังเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆทางสังคม ทั้งในครอบครัวและนอกครอบครัว
2. ช่วงแก่ปานกลาง (the middle-aged old)อายุประมาณ 70-79 ปี เป็นช่วงที่คนเริ่มเจ็บป่วย เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมน้อยลง
3. ช่วงแก่จริง (the old-old)อายุประมาณ 80-90 ปี ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมยากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับคนอายุขั้นนี้ต้องมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้สูงอายุต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมมากกว่าวัยที่ผ่านมา เริ่มย้อนนึกถึงอดีตมากขึ้น
4. ช่วงแก่จริงๆ (the very old-old)อายุประมาณ 90-99ปี ผู้ที่มีอายุยืนถึงขั้นนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย เป็นระยะที่มักมีปัญหาทางสุขภาพผู้สูงอายุในวัยนี้ควรทำกิจกรรมที่ไม่ต้องมีการแข่งขัน ควรทำกิจกรรมอะไรที่ตนเองมีความสนใจ และต้องการทำ
วัยผู้สูงอายุผลจากการเปลี่ยนแปลงไปทางเสื่อมที่เกิดขึ้นซึ่งจะมีปัญหาที่เกิดขึ้นและพบบ่อย (สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล, 2542 และสุภาวดี พุฒิหน่อยและคณะ, 2547 ) โดยจำแนกออกเป็นด้านต่างๆดังตารางที่ 1
ปัญหา |
รายละเอียด |
ด้านร่างกาย |
- กำลังสำรองลดลง ระบบต่างๆของร่ายกายประสิทธิภาพลดลง - สายตาเปลี่ยน - ความกระฉับกระเฉงลดลง สูญเสียการทรงตัวได้ง่าย - ความไวของการทำงานระบบประสาทลดลง |
ด้านจิตใจ |
- ขี้น้อยใจ หงุดหงิดง่าย ขี้กังวล จิตใจหดหู่ เดียวดาย จิตใจเศร้าหมองง่าย ซึม เหงาและว้าเหว่ และสิ้นหวัง |
ด้านสังคม เศรษฐกิจ |
- ขาดเพื่อนขาดความผูกพัน ที่เคยมีต่อสังคม - ขาดรายได้ประจำ หรือรายได้ลดลงจากเดิม - ขาดการยอมรับไม่ได้รับการยกย่องเหมือนวัยทำงาน ขาดความสำคัญไป - ค่านิยมของครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญูลดลง - ขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม |
ตารางที่ 1 แสดงปัญหาที่พบบ่อยในวัยผู้สูงอายุ
จะเห็นได้ว่าปัญหาของผู้สูงอายุมีหลายมิติที่ซับซ้อนนอกจากนี้ยังรวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่เป็นปัจจัยการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุ สภาพที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมทางกายภาพไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเช่น มีบันไดหลายขั้น มีทางต่างระดับ แสงสว่างไม่เพียงพอ ตลอดจนปัญหาทางด้านความรู้พื้นฐานในการดูแลสุขภาพของตนเอง ตลอดจนความรู้เรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งความรู้ทักษะทางด้านการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุรูปแบบการดำเนินชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะวิถีชีวิตของแต่ละคนหลังจากเกษียณอายุ ผู้สูงอายุอาจมีข้อจำกัดต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการทำกิจกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน สภาพจิตใจที่มีความวิตกกังวล เหงา การไม่มีภาระหน้าที่ สภาพสังคม การเงิน การเป็นที่ยอมรับย่อมส่งผลถึงความสุข การมีคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเอง การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุควรมีการพัฒนาระบบเอื้อหนุนส่งเสริมปัจจัยพื้นฐานให้ตัวผู้สูงอายุเองสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาผู้อื่นลง โดยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุก้าวไปสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ (Active aging) ซึ่งหมายถึงสามารถพึ่งพาตนเองได้ (Self-reliance) ดูแลตนเองได้ (Self-care) สามารถทำสิ่งต่างๆได้ตามศักยภาพของตนเอง (ศศิพัฒน์ ยอดเพชร, 2542) ดังนั้นควรมีระบบที่ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตนเองได้และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับศักยภาพผู้สูงอายุ
องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีหลายมิติด้วยกันประกอบไปด้วย ร่างกาย จิตใจและสังคมโดยคำนึงถึงความต้องการเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุมีดังนี้
ความต้องการ |
รายละเอียด |
ด้านร่างกาย |
1. ต้องการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ 2. ต้องการมีผู้ช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด 3. ต้องการที่อยู่อาศัยที่สะอาด อากาศดี สิ่งแวดล้อมดี 4. ต้องการอาหารการกินที่ถูกสุขลักษณะตามวัย 5. ต้องการมีผู้ดูแลช่วยเหลือให้การพยาบาลอย่างใกล้ชิดเมื่อยามเจ็บป่วย 6. ต้องการได้รับการตรวจสุขภาพ และการรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว ทันท่วงที 7. ต้องการได้รับบริการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่าจากรัฐ 8. ความต้องการได้พักผ่อน นอนหลับอย่างเพียงพอ 9. ความต้องการบำรุงรักษาร่างกาย และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 10. ความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ |
ด้านจิตใจ |
ต้องการการยอมรับ และเคารพยกย่องนับถือ และการแสดงออกถึงความมีคุณค่าของผู้สูงอายุ โดยสมาชิกในครอบครัว สังคมของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะสนใจสิ่งแวดล้อม เฉพาะที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ และตรงกับความสนใจ ของตนเองเท่านั้น |
ด้านสังคม |
1. ต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่น 2. ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว สังคมและหมู่คณะ 3. ต้องการช่วยเหลือสังคมและมีบทบาทในสังคมตามความถนัด 4. ต้องการการสนับสนุน ช่วยเหลือจากครอบครัว และสังคมทั้งทางด้านความเป็นอยู่รายได้บริการจากรัฐ 5. ต้องการมีชีวิตร่วมในชุมชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนและสังคม 6. ต้องการลดการพึ่งพาคนอื่นให้น้อยลง ไม่ต้องการความเมตตาสงสาร (ที่แสดงออกโดยตรง) 7. ต้องการการประกันรายได้ และประกันความชราภาพ |
ตารางที่ 2 แสดงความต้องการเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ
ที่มา (ดัดแปลง): อนามัยผู้สูงอายุ สำนักส่งเสริมสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2556.
ความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุและเข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อนำมาพัฒนาให้ตัวผู้สูงอายุเองสามารถพึ่งพาช่วยเหลือจนเองได้ ทำสิ่งต่างได้ตามศักยภาพของตนเอง เป็นการสร้างและก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับตัวผู้สูงอายุเองอย่างยั่งยืน การที่ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี จิตใจดี อยู่ในสังคมที่ดี จะทำให้ผู้สูงอายุเกิดความภูมิใจ ความพึงพอใจในตนเอง รู้จักความประมาณตน รักตนเอง รักผู้อื่น ไม่ละทิ้งความรู้ความความรู้ความสามารถเดิมที่ตนมีอยู่ ทำตนให้มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่น รู้จักเข้าหาสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่อยู่อย่างอ้างว้างและเหงาหงอยจะเป็นการตอบรับโจทย์ของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ
ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ดังที่ต้องการอย่างต่อเนื่องและความต้องการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระ แข็งแรงกระฉับกระเฉงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุ สมรรถภาพทางกายที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเคลื่อนไหวปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน จะช่วยทำให้ทราบว่าความสามารถดังกล่าวยังคงดีอยู่หรือลดลง และเป็นข้อมูลในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาส่งเสริมสมรรถภาพแก่ผู้สูงอายุเหล่านั้น
กิจกรรมพื้นฐานของผู้สูงอายุดังนั้นการคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวร่วมกับการพิจารณาให้คำแนะนำความเหมาะสมของกิจกรรมประเภทต่างๆจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง กิจกรรมพื้นฐานในการดำเนินชีวิติของมนุษย์นั้นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบใหญ่ๆ คือกิจกรรมการบำรุงรักษาตนเอง กิจกรรมที่ทำตามบทบาทตามวัยและสังคมวัฒนธรรม และกิจกรรมยามว่างหรือนันทนาการ ดังนั้นการที่ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างเหมาะสมส่งผลให้การมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้ใช้สมอง ได้ใช้ทักษะและศักยภาพของตนเอง ตลอดจนตัวกิจกรรมเปิดโอกาสได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งการที่บุคคลได้ทำกิจกรรมที่มีศักยภาพเหมาะสมและการมีกิจกรรมที่พอเหมาะกับวัยของผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและจำเป็นจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุนั้นเกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตนเอง
2. ทฤษฎีการทำกิจกรรมของมนุษย์
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมในมนุษย์ทางกิจกรรมบำบัดแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยต่อไปนี้ (สุภาวดี พุฒิหน่อย, 2553) คือ
1. บุคคล (Person)
2. สิ่งแวดล้อม (Environment)
3. สุขภาพ (Health)
4. กิจกรรม (Occupation)
การที่มนุษย์จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพนั้นมักขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลดังต่อไปนี้ คือ อายุ เพศ ความสนใจ ระดับการศึกษา บทบาททางสังคม ทักษะในการทำกิจกรรม แหล่งที่มาของรายได้และอื่นๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำกิจกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย อาทิเช่นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สรีรวิทยา จิตวิทยา สังคม การเมือง การทำกิจกรรมที่มีเหมาะสมหรือมีศักยภาพย่อมทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ เกิดทักษะ เกิดการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถในต่างๆ ทั้งยังก่อให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง มองเห็นคุณค่าของตนเอง การลงมือในการทำกิจกรรม (Occupation) มีสิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวกิจกรรมนั้นต้องอาศัยทักษะการทำ หรือลักษณะกิจกรรมมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด กิจกรรมนั้นต้องอาศัยความรู้ หรือประสบการณ์หรือไม่ การได้ทำกิจกรรมเปิดโอกาสให้ตนเองได้แสดงออกหรือนำมาซึ่งการได้รับการยอมรับในสังคม
สำหรับทฤษฎีพื้นฐานในการทำกิจกรรมของมนุษย์นั้นอาศัยทฤษฎีรูปแบบกิจกรรมของมนุษย์ (Model of human occupation) ซึ่งพัฒนาโดย Kielhofner (2002) อธิบายดังต่อไปนี้
มนุษย์(Human) เชื่อว่ามีแรงขับมาตั้งแต่เกิดในการค้นพบและควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวของเขา มนุษย์ เป็น ระบบเปิด สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวมีผลกระทบต่อพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ได้กระทำผ่านกิจกรรมจะส่งผลให้เกิดข้อมูลย้อนกลับมาปรับและพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง
กิจกรรม (Occupation) ภายใต้รูปแบบกิจกรรมของมนุษย์ คือสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์กระทำออกมาเป็นกิจกรรม โดยอาจแบ่งประเภทกิจกรรมเป็น การบำรุงรักษาตนเอง งาน และงานยามว่าง/การเล่น การทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างสมดุลนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี (Wellness) โดยต้องทำกิจกรรมที่ใช้เวลาอย่างเหมาะสม สามารถเติมเต็มบทบาทของชีวิต พัฒนาศักยภาพของตนเองช่วยให้เกิดการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี
องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องในการทำกิจกรรมของมนุษย์ (Subsystem of human occupation) มีระบบที่เกี่ยวข้องภายในตัวของมนุษย์ กิจกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อน กล่าวคือบุคคลอาจจะสามารถหรือไม่สามารถลงมือทำกิจกรรมนั้นได้อย่างประสบผลสำเร็จ บางคนนั้นต้องพยายามแล้วพยายามอีกถ้ายังทำกิจกรรมดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้เมื่อพิจารณาแล้วปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะประกอบไปด้วย 3 ระบบด้วยกัน
1) เจตจำนง Volition
2) อุปนิสัย Habituation
3) การกระทำ Performance
กายเสื่อม แต่จิตเข้มแข็งสุขสงบด้วยพุทธวิถีนะคะ...ขอบคุณสาระดีๆเช่นนี้ค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ สุพรรษา โอทีรุ่น 23 ค่ะ จะมาติดตามอ่านบันทึกของอาจารย์เรื่อยๆนะคะ ^^
ยินดีต้อนรับนะครับอาจารย์ ;)...
ขอบคุณคะ กำลังทดลองใช้อยู่คะ