แนวคำตอบข้อสอบอัตนัยรุ่นที่ 34 ฟ้องแพ่ง


*ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภท ห้างหุ้นส่วนจำกัด จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีนางหนึ่ง มกรา เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการการรับทำเฟอร์นิเจอร์ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

*จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการมีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขายไม้สัก รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2

*ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2551 โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อไม้สักทองจำนวน 5,000 คิวบิคฟุต จากจำเลยที่ 1 เพื่อมาทำเฟอร์นิเจอร์ส่งให้ลูกค้าของโจทก์ โดยโจทก์ชำระเงินค่าไม้สักทองตามสัญญาจำนวน 10,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา ซึ่งตามสัญญาจำเลยที่ 1 จะต้องส่งมอบไม้สักทองให้แก่โจทก์ภายใน วันที่ 29 เมษายน 2551 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาส่งมอบไม้สักทองให้แก่โจทก์ล่าช้าเลยกำหนดเวลาในสัญญาไปถึงหนึ่งเดือนครึ่งเศษ โดยส่งมอบให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 ทั้งนี้จำเลยที่ 1 รู้ในขณะทำสัญญากับโจทก์แล้วว่า โจทก์จะนำไม้สักทองที่ซื้อจากจำเลยมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งให้แก่ลูกค้าของโจทก์ โดยโจทก์ต้องใช้เวลาในการผลิตเฟอร์นิเจอร์สองเดือนและมีกำหนดส่งมอบให้แก่ลูกค้าภายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2551 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบไม้สักให้แก่โจทก์ล่าช้าทำให้โจทก์เสียหายต้องเสียค่าปรับให้ลูกค้าไปเป็นเงิน 2,200,000 บาท เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2551 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงินของจำเลยที่ 1 ใบส่งของ ใบเสร็จรับเงินค่าปรับ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6

*วันที่ 10 สิงหาคม 2551 โจทก์จึงได้มีหนังสือทวงถามถึงจำเลยที่ 1 ให้ชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถาม เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 7

*ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 25551 จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าผิดสัญญาขายไม้สักดังกล่าวข้างต้นต่อโจทก์และทำให้โจทก์เสียหาย และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 โดยจำเลยที่ 1 จะชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วนในวันที่ 5 ธันวาคม 2551

เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระค่าเสียหายดังกล่าวในวันที่ 4 กันยายน 2551 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองอาคารชุดชื่อแสนสุข เลขที่ 11/16 อาคาร 2 พื้นที่ 24 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 3434 ตำบลบางกอกใหญ่ อำเภอท่าพระ กรุงเทพมหานคร โดยมีข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งใช้เป็นสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่า หากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ตกลงชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้จนครบ และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตกลงเข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความ และสัญญาจำนอง เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 8 และ 9

*ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2551 จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงเทพมหานคร (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เลขที่ 1010101 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 เพื่อชำระหนี้ค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความรวมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2551 ถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2551 เป็นเงิน 2, 037,500 บาท ให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารกรุงเทพฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและได้คืนเช็คให้กับใบคืนเช็คให้กับโจทก์ โจทก์จึงยังไม่ได้รับชำระค่าเสียหายใดๆ จากจำเลยที่ 1 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเช็คและใบคืนเช็ค เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 10 และ 11

*ข้อ 3. การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ 2 และ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันหรือแทนกันรับผิดชดใช้เงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 25551 จนถึงวันที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วน ซึ่งดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 75,000 บาท รวมทุนทรัพย์คดีนี้เป็นเงิน 2,075,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้นำอาคารชุดชื่อแสนสุข เลขที่ 11/16 อาคาร 2 พื้นที่ 24 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 3434 ตำบลบางกอกใหญ่ อำเภอท่าพระ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระจนกว่าจะครบถ้วน

*ก่อนฟ้องโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงจำเลยที่ 1 และทวงถามจำเลยที่ 2 และ 3 ให้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามได้รับแล้วเพิกเฉยปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและใบตอบรับของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 12 - 17

โจทก์ไม่มีทางบังคับจำเลยทั้งสามได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งบังคับจำเลยทั้งสามต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

*ข้อ 1. ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 2, 075,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะร่วมกันหรือแทนกันชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วน

*ข้อ 2. หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระตามข้อ 1 ให้บังคับจำนองนำอาคารชุดชื่อแสนสุข เลขที่ 11/16 อาคาร 2 พื้นที่ 24 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 3434 ตำบลบางกอกใหญ่ อำเภอท่าพระ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระจนกว่าจะครบถ้วน

*ข้อ 3. ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแทนโจทก์

หมายเหตุที่ทำ * คือย่อหน้า

คำสำคัญ (Tags): #ฟ้องแพ่ง
หมายเลขบันทึก: 549579เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2013 14:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม 2013 15:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท