การให้โอกาสผู้อื่น


การให้โอกาสผู้อื่น

         ก่อนเลิกงานของวันนี้ ฉันได้พูดคุยกับน้อง ๆ ที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน (เดิมทำงานอยู่ที่งานการเจ้าหน้าที่) แต่เพราะความต้องการเจริญเติบโตทางการทำงาน น้องคนนี้ขอย้ายไปอยู่ที่คณะครุศาสตร์ โดยทำหน้าที่เป็นรักษาการเลขานุการคณะ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ นับได้ก็เกือบ ๙ ปี ความจริงข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (สายสนับสนุน) แบบฉันในมหาวิทยาลัยมีแค่ ๑๖ คน (เสียชีวิตไปแล้ว ๑ คน early ไปอีก ๑ คน และปีนี้จะเกษียณอีก ๑ คน คงจะเหลืออยู่อีกรวมทั้งฉันด้วยเป็น ๑๓ คน) พวกเราไม่ค่อยได้รับการดูแลสักเท่าไหร่ (จากที่ฉันสังเกตเมื่อฉันได้โอนมาอยู่ที่มหาวิทยาลัย) เพราะผู้บริหารจะไปให้ความสำคัญกับสายวิชาการมากกว่า แต่มีผู้บริหารรุ่นที่แล้ว ท่านได้ดูแล เมตตาพวกเราซึ่งเรียกว่า PC เดิม จนสายวิชาการบางคนคิดว่า ผู้บริหารมาสนับสนุนพวก PC มากกว่าสายวิชาการ (แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่) เหตุที่ฉันรู้ เพราะฉันทำงานกับผู้บริหารชุดเดิม ฉันจึงรู้ ท่านเพียงแต่เมตตาพวกเรา ซึ่งได้ทำหน้าที่และเป็นกำลังหลักให้กับท่าน...มีเรื่องอะไร? ที่เกิดการเสียหาย พวกเราก็จะบอกและให้ข้อคิดเห็น

          PC เดิม จึงถูกเลี้ยงมาแบบไม่ค่อยโตสักเท่าไหร่? เพราะขาดการเอาใจใส่ ดูแล พัฒนาตนเอง ผิดกับฉันซึ่งได้เรียนรู้งานจากของ สปอ.(ประถมเดิม) ฉันทำงานบน สปอ. เรียนรู้งานจากงานธุรการ งานการเจ้าหน้าที่ ไต่ระดับมาเป็นหัวหน้างาน จนตำแหน่งสุดท้ายของฉัน คือ ผู้ช่วยหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ...ฉันได้เปลี่ยนงานบ่อยมาก (การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ของฉัน เนื่องมาจากสมัยก่อนเป็นระบบซี ถ้าจะเลื่อนซีให้สูงขึ้นต้องสอบเท่านั้น เมื่อสอบได้ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ ต้องไปอยู่ที่อื่นเพื่อเอาตำแหน่ง...ถ้าพูดถึงเรื่องความรู้ ไม่ต้องพูดถึง ฉันชอบอ่านหนังสือ กฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ เวลาฉันสอบ ฉันจึงรู้แนวว่าควรจะออกแบบไหน? เรียกว่า "ฉันเป็นสิงห์สนามสอบ" ฉันชอบเพราะเป็นการฝึกสมองไปในตัว...สำหรับการทำงาน ฉันเกิดมาอยู่ทำงานที่ได้หัวหน้างานเป็นคนดี พี่ ๆ สอนงานฉันจนเป็น ไม่หวงความรู้ บอกฉันด้วยความจริงใจ ฉันจึงติดนิสัยของพวกพี่ ๆ (เพราะหัวหน้าของฉันส่วนมากเป็นผู้ชาย) ฉันจึงติดนิสัยการไม่ชอบสุงสิง ซุบซิบ นินทา เพราะพวกพี่ ๆ ที่ฉันอยู่ด้วย เขาไม่เป็นเช่นนั้น จึงนับว่าฉันโชคดี...

          ฉันได้เรียนรู้งานและประสบการณ์ต่าง ๆ เพราะฉันเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อย...ทำให้ประสบการณ์นี้ฉันมีและได้รับไม่เหมือนคนอื่น นับว่า "ฉันแกร่งขึ้น" มีความมานะ อดทนมากขึ้น ฉันได้เรียนรู้นิสัยคนมากมายจากสถานที่ต่าง ๆ ซึ่ง PC เดิมไม่ได้มีโอกาสแบบฉัน เมื่อถึงคราวตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอยุบตำแหน่ง ฉันไม่ประสงค์จะเป็นรองผอ.เขตพื้นที่ ฯ ฉันขอสอบโอนย้ายมาอยู่มหาวิทยาลัย ฉันสอบติด ฉันจึงตัดสินใจขอโอนย้ายมาและฉันก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวฉันบ้าง เพียงเพื่อฉันต้องการมาให้พ้นจากที่นั่น ไม่ใช่รังเกียจ เป็นเพราะ ผอ.เขตกล่าวหาฉันว่า "ฉันเป็นกบฎต่อองค์กร" ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นกบฎตั้งแต่เมื่อไหร่...การสอบได้และขอโอนมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี่นะหรือ คือ กบฎ มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน ฉันรู้กฎหมาย (ถ้าไม่เช่นนั้นรัฐจะมีระเบียบสำหรับเรื่องการโอนย้ายให้กับข้าราชการทั่วประเทศไว้ทำไม)...

          เมื่อฉันได้โอนย้ายมาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ฉันได้ช่วยพัฒนางานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยในระหว่างที่ผู้บริหารชุดเดิมนั้นอยู่ จนเป็นที่รู้จักของน้อง ๆ ทั่วประเทศ (ไม่ใช่ฉันเก่ง แต่ฉันรู้แนวในการทำงาน จึงทำให้ฉันได้มีโอกาสทำในสิ่งที่บางคนไม่มีโอกาส)...ความรู้ + ประสบการณ์ต่าง ๆ มันจึงอยู่ในตัวของฉันเป็นองค์ความรู้ของฉันเอง...ฉันช่วยเหลือทุกคนถ้าฉันมีโอกาสที่ฉันสามารถจะช่วยเหลือได้...เป็นการช่วยด้วยความเต็มใจ...บ่ายนี้ น้องที่เคยขอไปอยู่คณะครุศาสตร์ มาบอกกับฉันว่า เขาไม่มีความสุข จะขอกลับมาทำงานที่ส่วนกลางเพราะไม่ไหวแล้วกับการทำงานที่คณะ ทำงานไม่มีความสุข แม้แต่เด็ก ๆ ที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำตามสัญญาและมาบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยก็พยายามแทงข้างหลัง ซึ่งน้องคนนี้ก็บอกว่า "ไม่เข้าใจพวกเขา" เราได้พูดคุยกันในฐานะที่เราเป็น PC เดิม เหมือนกัน...ฉันเลยบอกเขาไปว่า...อยากกลับมาทำงานที่การเจ้าหน้าที่เหมือนเดิมหรือเปล่า? ถ้าไม่รังเกียจพี่ก็กลับมาอยู่กับพี่ก็ได้ เพราะเขาไปทำงานที่คณะนานแล้วประมาณ ๙ ปี สำหรับคนอื่น ๆ ได้ประเมินเข้าสู่ตำแหน่งเลขาคณะ ผอ.กองกันไปหมดแล้ว เหลือแต่น้องคนนี้...ซึ่งเธอก็ตอบตกลงและดีใจที่จะได้มาทำงานกับที่เก่า ที่ ๆ เขาคิดว่า ทำให้เขามีความสุขต่อการทำงาน (เขาคิดว่า...น่าจะมีความสุขมากกว่าตรงคณะที่เขาอยู่)...

         พวกเรา PC หลายคนได้พูดคุยกัน และก็บอกว่า "พี่บุษ" คือ ที่พึ่งของพวกเรา เพราะไม่มีใครที่จะพูดกันรู้เรื่องและให้พวกเราได้พึ่งเหมือนพี่ ฉันก็ได้แต่บอกไปว่า "ไม่เป็นไร ถ้าพี่ช่วยได้พี่ก็จะช่วย เพราะเรามีอยู่ด้วยกันเท่านี้ โดยเฉพาะพวกเราเป็นข้าราชการ" ต่อไป เราก็จะเหลือลดลง ๆ จนหมดไปในที่สุด...ฉันได้ให้โอกาสเพื่อน ๆ น้อง ๆ ร่วมงาน เพราะฉันคิดว่า พวกเรามาทำงานด้วยกัน...จะมีใครบ้างที่ได้รู้ถึงชีวิตของพวกเราซึ่งทำงานให้กับภาครัฐ โดยหวังที่จะทำงานให้ไม่ได้หวังผลตอบแทนเช่นพนักงานมหาวิทยาลัย (บางคน) ที่เรียกร้องผลประโยชน์ พวกเรารู้พวกทราบว่า ควรทำตัวอย่างไรกับการทำงานในยุคใหม่...ขอเพียงแค่ "กำลังใจ" เท่านั้น ที่จะทำให้พวกเรา PC เดิม ทำงานอยู่ได้จนเกษียณอายุราชการเท่านั้น...การทำงานในมหาวิทยาลัย ทำให้ฉันเห็น ๆ ถึงความแตกต่างระหว่างสายวิชาการและสายสนับสนุน กับคำว่า "คุณค่าของความเป็นคน" ช่างแตกต่างกันเสียจริง ๆ...เป็นเพราะอะไร?

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 548108เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2013 22:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 กันยายน 2013 22:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

พี่สอนน้อง หาก น้องได้เรียน รู้ วิถีที่ดี ย่อมประเสริฐ ครับ

เข้ามาเรียนรู้และเป็นกำลังใจครับ

มาให้กำลังใจ  และ ชื่นชม ความวิริยะ ของพี่บุษยมาศ  นะคะ

ขอให้เป็นที่พึ่ง ของน้องๆ  ตลอดไปนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

สมัยที่ราชภัฏทั้งหลายยังไม่เป้นมหาวิทยาลัย รัฐบาล (กพ) กำหนดตำแหน่งข้าราชการพีซีให้แห่งละ 11-12 คนเท่านั้น ทั้ง ๆที่งานมากมายเหมือนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้ อาจารย์ต้องมาทำงานบริหารจัดการ ธุรการทั้งหมด งบประมาณก็ได้น้อยนิด มีความเหลื่อมล้ำสูง ความไม่เท่าเทียม น่าเกิดความคับแค้นใจ เท่านั้นยังไม่พอยังตอกย้ำว่าเราไม่มีคุณภาพอยู่เสมอ ๆ _(ขอบอกว่าคุณภาพสูงเกินการลงทุน)  

ทุกวันนี้ความเหลื่อมล้ำยังมีอยู่แต่ดีขึ้นมากแล้ว เพราะเขาให้เป็นนิติบุคคล ทำอะไรได้มากขึ้น คืนครูสู่ห้องเรียนได้

ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ และขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุก ๆ ท่านค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท