นโยบายพัฒนาครูอาจารย์ - เกาไม่ถูกที่คัน
อ.วิชัย กอสงวนมิตร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
(บทความนี้เคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ ๒๗ มี.ค.๕๖ หน้า ๑๑)
เป็นที่รู้ดีกันทั่วไปว่า การศึกษาสร้างคน และคนสร้างชาติ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่กระทรวงศึกษาธิการจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพครูอาจารย์ เพื่อให้เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ที่มีคุณภาพไปพัฒนานักเรียนนักศึกษาต่อไป
เรื่องสำคัญในการพัฒนาครูอาจารย์มีหลายด้านหลายมิติ แต่เป็นที่สังเกตได้ชัดว่า ผู้ที่กำหนดนโยบายการศึกษาของไทยได้เดินหลงทางเข้าป่ารกทึบมานาน ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่ประการใด เพราะสังเกตมาตลอดว่า ประเทศไทยเรานั้น "คนทำงานมักไม่มีโอกาสคิด แต่คนที่คิดมักเป็นคนที่ไม่เคยทำ"
สำหรับครูอาจารย์ที่กำลังตรากตรำพร่ำสอนลูกศิษย์อยู่ทุกวันนี้ ทุกคนรู้ดีว่าแม้ตัวเองจะสอนได้ดีและเก่งเพียงใด แต่หากไม่มีผลงานวิจัยหรือผลงานเขียนวิชาการแล้ว ก็จะไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการได้ จึงไม่เป็นการแปลกเลย ที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยและครูในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องแบ่งเวลาและให้ความสำคัญกับการทำวิจัย ไม่ว่าในชุมชน ในห้องเรียน ฯลฯ ตลอดจนการเขียนตำราหรือบทความทางวิชาการ การไปเป็นวิทยากรภายนอก ฯลฯ เพียงเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ในการขอตำแหน่งวิชาการ อันจะนำไปสู่การปรับเงินเดือนและความก้าวหน้าในวิชาชีพ หรือไม่ก็ต้องหาทางไปเรียนเพื่อให้ได้รับปริญญาที่สูงขึ้น จนมีผู้ที่ลาไปศึกษาต่อมากมาย
นี่คงเป็นกรรมของนักเรียนนักศึกษาไทย ที่นอกจากต้องเรียนหนัก การบ้านเยอะแล้ว ยังต้องมาเจอกับครูอาจารย์ที่ไม่สามารถทุ่มเทเวลาและจิตใจให้กับการสอนได้ เพราะต้องเสียเวลาไปมากมายกับงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานสอน จนกลายเป็นว่าครูดีในความคิดของกระทรวงศึกษาไทย กับในความคิดของผู้เรียนตลอดจนประชาชนทั่วไป น่าจะเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้จึงกลายเป็นว่า ครูอาจารย์ที่สอนดี ทุ่มเทงานสอนเต็มที่ อาจจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพครูได้อีกต่อไป
ที่ผ่านมามีครูอาจารย์และนักการศึกษาจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นความผิดปกตินี้ เพียงแต่เสียงเรียกร้องให้แก้ไขนี้ ยังแผ่วเบาเกินกว่าที่จะไปหยุดทิฐิในความคิดของผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการได้ ตราบจนถึงทุกวันนี้ครูอาจารย์ทุกคนที่อยากมีตำแหน่งวิชาการ จึงไม่สามารถปฏิเสธการทำงานมากมายนอกจากงานสอน (ที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ของครู แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะควรเป็นเพียงงานเสริม) ท่านผู้บริหารการศึกษาไทยคงไม่เข้าใจว่า หากจะจ้างพ่อครัวก็ควรต้องเลือกคนที่ทำอาหารอร่อย แต่คงไม่จำเป็นต้องล้างจานหรือให้บริการลูกค้าเก่งด้วย (เพราะงานเสริมสามารถจ้างคนมาทำเพิ่มต่างหากได้) และที่น่าห่วงกว่านั้นคือ ท่านอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า ภัตตาคารหรือร้านอาหารที่จะขายดี สำคัญที่สุดคือการต้องหาพ่อครัวฝีมือดีมาให้ได้ก่อน
ที่จริงแล้ว การจะพัฒนาคุณภาพของครูอาจารย์ในการสอนนั้น การทำวิจัยหรือการเขียนบทความและตำรา เป็นเพียงส่วนประกอบย่อยในการสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการให้ผู้สอนเท่านั้น และมีบางคนอาจจะไม่ชอบทำด้วยซ้ำไป บ้างก็ปฏิเสธที่จะทำเพราะเห็นว่าจะทำให้ทุ่มเทงานสอนได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ครูอาจารย์เหล่านั้นกลายเป็นครูไม่ดีไปได้ เพราะหากคิดให้ลึกแล้ว ครูอาจารย์ที่จะทำหน้าที่ได้ดี จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในมิติที่สำคัญกว่าอีกหลายด้าน ที่ไม่ใช่การทำวิจัยและเขียนตำราด้วยซ้ำไป เช่น
๑) ด้านความรู้ ครูควรมีความรู้ที่จำเป็นในการสอนและมีความรู้รอบตัวที่ดีด้วย เพราะหากครูมีแต่ความรู้ที่สอนโดยไม่สนใจความรู้รอบตัว แล้วจะไปบอกให้ลูกศิษย์สนใจโลกและสังคมได้หรือ ?
๒) ด้านเทคนิคการสอน เพราะครูควรสามารถถ่ายทอดทั้งความรู้และแง่คิดแก่ผู้เรียน ทำให้เรื่องที่ยากกลายเป็นเรื่องง่าย และทำให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข หรืออยากเรียนรู้มากกว่าถูกบังคับให้เรียน
๓) ด้านประสบการณ์ในวิชาชีพ หลายวิชาครูควรมีประสบการณ์จริงด้วย เช่น วิชาด้านธุรกิจ การบริหาร ช่าง แพทย์ ศิลปะ เกษตรกรรม ฯลฯ แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ครูก็ควรได้ทดลองหรือเห็นสถานที่จริงมาแล้วบ้าง เพราะครูจะได้สอนให้ผู้เรียนนำไปประยุกต์ใช้เป็น เข้าใจง่ายขึ้น ตลอดจนทำให้สามารถสอนได้มีอรรถรส
๔) ด้านคุณธรรม เช่น ความรักและห่วงใยศิษย์, ความสัมพันธ์กับชุมชน เพื่อครูจะได้รับความร่วมมือจากผู้เรียนและชุมชนมากขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนเพื่อนำไปใช้จริง แทนการเรียนเพื่อสอบ
มิติทั้งสี่ด้านนี้ สำคัญกว่าสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการนำมาเป็นตัวชี้วัดคุณภาพและความสามารถครูอาจารย์อย่างมาก แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจน้อย งบพัฒนาอาจารย์ก้อนโตทุกวันนี้ จึงถูกกำหนดให้ใช้เพื่อทำงานวิจัยและเขียนตำรา จนเต็มไปด้วยงานวิจัยที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์และตำราที่เขียนซ้ำซ้อนกันมากมาย
เพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและหลักคิดที่ผิดทางการศึกษาของไทย จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมผลการวัดคุณภาพการศึกษาของไทยจึงมีแต่ย่ำแย่ลง และแม้จะมีนักเรียนนักศึกษาเก่งๆ จำนวนหนึ่ง แต่กลับหาผู้ที่สนใจและเสียสละเพื่อสังคมได้น้อยมาก ก็เพราะกระทรวงศึกษากำลังเน้นสร้างแม่แบบที่ทำเพื่อตัวครู-อาจารย์เอง - ไม่ใช่ทำเพื่อลูกศิษย์ จากนโยบายพัฒนาคุณภาพครูอาจารย์แบบ "เกาไม่ถูกที่คัน"
หมายเหตุ บทความนี้เป็นความคิดส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาที่ผู้เขียนทำงานอยู่
บางท่านรู้ทุกเรื่อง ยกเว้น เรื่องที่ต้องรู้ว่า "ครูเพื่อศิษย์ ต้องทำอย่างไร ครับ"
รับฟังครับ อาจารย์ ;)...
เป็นความคิดส่วนตัวที่น่าสนใจ ผู้บริหารควรเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาให้ถูกกับจริตของบุคลากรที่มีความหลากหลาย (ความเชื่อ ทัศนคติ
ความรู้ความสามารถ ฯลฯ)