ธรรมะบรรยาย


ธรรมบรรยาย

ทักขิณานุปทานกถา

โดย  พระครูวินัยธรวิเชียร  วชิรธมฺโม  (พูลมนัส)

วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร  แขวงวัดกัลยาณ์  เขตธนบุรี  กรุงเทพมหานคร

แสดงในงานบำเพ็ญกุศลศพ

พระครูโอภาสพรหมคุณ  (แสง  สุทตฺโต)

อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่พระยาทำ  ตำบลบางปลาสร้อย  อำเภอเมือง  จังหวัดชลบุรี

วันที่  ๑๒  ธันวาคม    พ.ศ.  ๒๕๕๓  เวลา  ๒๐.๐๐  น.

***************

 

ขอถวายความเคารพท่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการอันมีหลวงพ่อพระมหาประทีป  ปิยธมฺโม  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนอกเป็นประธาน           ท่านพระเถรานุเถระที่เคารพและขอเจริญพรญาติโยมผู้ใจบุญทุกท่าน

            สำหรับการบำเพ็ญกุศลในค่ำคืนนี้    พระที่เป็นเจ้าภาพก็มาจากวัดประยุรวงศาวาส      และพระสงฆ์ที่มาสวดพระอภิธรรมทำนองหลวงก็เป็นพระพิธีธรรมสำรับวัดประยุรวงศาวาส   ซึ่งโดยปกติมี  ๑๐  สำรับ  ซึ่งวัดประยุรวงศาวาสก็มีสำรับหนึ่ง  ซึ่งพระที่สวดมีสมณศักดิ์เรียกว่า  พระพิธีธรรม       ทำหน้าที่ในการสวดพระอภิธรรมทำนองหลวง    ซึ่งถ้าเป็นงานอันเนื่องด้วยราชพิธีหรืองานในพระบรมราชานุเคราะห์พระพิธีธรรมจะต้องใช้พัดยศ  สำหรับงานทั่วไปจะไม่ใช้พัดยศแต่จะสวดพระอภิธรรมทำนองหลวงเท่านั้น  ซึ่งเจ้าภาพมีความประสงค์จะบูชาคุณของหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณ  จึงได้อาราธนามาสวดเป็นกรณีพิเศษ

          พระครูโอภาสพรหมคุณท่านมีสายสัมพันธ์กับอาตมาในฐานะครูบาอาจารย์      กล่าวคือเป็นอาจารย์สอนนักธรรมชั้นเอก  ซึ่งในปี  พ.ศ.  ๒๕๒๓   อาตมาจะสอบนักธรรมชั้นเอก  คณะสงฆ์จังหวัดชลบุรีได้กำหนดให้มีการอบรมก่อนสอบ  ๑๕  วัน  นับเป็นรุ่นที่  ๑  และหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณ  ได้เป็นพระวิทยากรถวายความรู้  หลังจากผ่านการอบรมก็ปรากฏว่าสอบได้นักธรรมชั้นเอกในปีนั้น  นอกจากนั้นท่านยังได้ให้ความเมตตาต่ออาตมภาพมาอย่างต่อเนื่อง  ถือเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรรูปหนึ่ง  ซึ่งเป็นที่เคารพรักมานานหลายสิบปี

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสบอกไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า     เมื่อเราปรารภถึงสายสัมพันธ์ในท่านผู้วายชนม์ว่า      ท่านผู้นี้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ได้เคยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์  แก่เรา  หรือได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เรา  หรือเป็นญาติเป็นมิตรเป็นสหายของเรา  เมื่อนึกถึงสายสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันแล้ว  บางท่านร้องไห้  เศร้าโศกเสียใจ      หรือแสดงปริเวทนาการไปต่างๆ การกระทำดังกล่าวข้างต้นนั้น  มิได้เกิดประโยชน์ต่อผู้วายชนม์  ต่อเมื่อได้กระทำบุญอุทิศไปให้         การกระทำนั้นจึงจะยังประโยชน์เกื้อกูลให้บังเกิดขึ้นแก่ผู้วายชนม์  เพราะว่าในปรโลกไม่มีการประกอบสัมมาอาชีพใดๆ  ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่ทำนา ค้าขาย  เลี้ยงปศุสัตว์  ในปรโลกไม่มีทั้งนั้น  หมู่สัตว์ผู้ละจากโลกนี้ไปแล้วบังเกิดในปรโลกสำเร็จความเป็นอยู่ได้โดยอาศัยบุญ  มีแต่บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของผู้ที่อยู่ในปรโลก  สมดังวจนประพันธ์ที่ว่า

                        บุญเป็นเงาเฝ้าตามติด                          บุญเป็นมิตรในทุกที่                                                    คอยช่วยเหลือเอื้ออารี                     ห่างราคีปลอดโพยภัย                                                  บุญพิทักษ์บุญรักษา                บุญนำพาพบสุขใส                                                            แม้นชีพลับดับล่วงไป             บุญส่งให้สู่สุขาวดี

            ในเพราะการปรารภว่าบุญจะเป็นที่พึ่งของผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว  เราท่านทั้งหลายจึงได้มาพร้อมใจกันทำบุญอุทิศไปให้โดยลำดับจนกระทั่งถึงกาลบัดนี้

            หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ท่านก็มีปกติในการบำเพ็ญบุญอยู่แล้ว  เพราะหลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโน  ปฏิบัติดี  อุชุปฏิปันโน  ปฏิบัติตรง  ญายปฏิปันโน  ปฏิบัติเพื่อรู้  สามีจิปฏิปันโน  ปฏิบัติสมควร  ได้สนองงานคณะสงฆ์ตั้งแต่เป็นพระผู้น้อยจนกระทั่งเป็นพระผู้ใหญ่ได้เจริญในสมณคุณโดยลำดับ  จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่พระยาทำ  และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลบางปลาสร้อย  

นอกจากงานด้านการปกครองที่รับผิดชอบเป็นปกติแล้ว  ในส่วนงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณก็มีความเชี่ยวชาญ  ท่านแสดงธรรมได้ไพเราะเป็นที่พึงพอใจของท่านผู้ฟัง  ยุวพุทธิกสมาคมก็ได้อาราธนาท่านในการแสดงธรรมตามโอกาสต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งท่านก็ได้เป็นกำลังที่สำคัญของยุวพุทธิกสมาคม  จึงได้เห็นว่ายุวพุทธิกสมาคมได้มีส่วนร่วมในการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพมาตั้งแต่ต้นจนถึงกาลบัดนี้

          หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณมีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่    ทั้งมีความเมตตาในพระภิกษุสามเณรตลอดจนสาธุชนทั่วไป    จะเห็นได้จากงานศึกษาสงเคราะห์ ที่หลวงพ่อได้กระทำ  ในทุกปีท่านจะจัดแจกทุนการศึกษาแก่นักเรียนด้วยตนเอง  เป็นงานหนึ่งที่ท่านรักและให้ความสำคัญ   นอกจากจะตั้งทุนนิธิเพื่อการศึกษาเป็นหลักแล้ว  ในการจัดแจกทุนการศึกษาก็ได้ทำอย่างต่อเนื่องทุกปี   ท่านบำเพ็ญตนเป็นสถานีบุญด้วยการนำกัปปิยภัณฑ์ที่ญาติโยมถวายท่านมาจัดแจกเป็นทุนการศึกษา  ท่านจึงเป็นที่เคารพรักนับถือของพระภิกษุสามเณรและญาติโยมเป็นจำนวนมาก 

            คุณความดีที่หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณได้บำเพ็ญนี้  เป็นที่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจของทุกท่านอยู่แล้ว  แม้ท่านจะจากพวกเราไป  แต่ความดีของท่านไม่ได้จากไปจากจิตใจของเรา  สมดังวจนประพันธ์ที่ว่า

                        อันความดีที่ทำไว้กับใครนั้น               ไม่มีวันลับหายในภายหน้า                              กายอาจเลือนลับหายจากสายตา            ดีไม่ลาลับหายจากสายใจ

            ดังนั้นในแต่ละค่ำคืนจึงได้เห็นว่าได้มีผู้มาติดต่อขอมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลเป็นจำนวนมาก  บางคืนก็มีหลายเจ้าภาพร่วมกัน  แม้ขณะนี้จะได้มีการบำเพ็ญกุศลต่อเนื่องมาจนจะถึง  ๑๐๐  วันแล้ว  แต่ญาติโยมก็ได้มาร่วมในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมมิได้ขาด  โดยมีความมุ่งหมายต้องการที่จะให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณได้รับประโยชน์อันได้แก่วิบากสมบัติในสุคติสัมปรายภพ  นี่เป็นธรรมชาติของความดีที่จัดสรรให้เป็นไป

            อันว่างานบำเพ็ญกุศลในแต่ละค่ำคืนเกิดขึ้นจากน้ำใจของญาติโยมทั้งหลาย  บางท่านมารับเป็นเจ้าภาพ  บางท่านมาร่วมสมทบในการเป็นเจ้าภาพ  บางท่านนำพวงหรีดมาเคารพศพ  น้ำใจของท่านทั้งหลายจึงทำให้งานนี้เกิดขึ้นอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี  สมกับความดีที่หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณได้เคยบำเพ็ญ  สมกับคำกล่าวของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธวรญาณ  (มงคล  วิโรจโน)  อดีตเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสที่ว่า  น้ำบ่อน้ำคลอง  ยังเป็นรองน้ำใจ  น้ำที่ไหนๆ  ก็สู้น้ำใจของท่านทั้งหลายไม่ได้

การมาของญาติโยมทุกท่าน  หากว่าหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณสามารถหยั่งรู้หยั่งทราบด้วยญาณวิถีทางใดทางหนึ่ง  ก็คงจะปลาบปลื้มปีติยินดีและอนุโมทนาสาธุการ  ทั้งประสิทธิ์ประสาทพรให้ทุกท่านได้ประสบความสุขความเจริญเป็นอันมากเช่นเดียวกัน

ความดีทั้งปวงที่หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณท่านได้บำเพ็ญไว้เองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่    ความดีในส่วนนี้เรียกว่า  บุญต้นทุน  บัดนี้ท่านไม่สามารถจะทำบุญด้วยมือตนเองเหมือนอย่างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  แม้จะทำได้เช่นการถวายผ้าบังสุกุลแก่พระสงฆ์  ก็เพราะเราจัดให้ท่านได้ทำ  ด้วยการโยงสายโยงจากมือของท่าน  ต่อด้วยภูษาโยงแล้วทอดตรงหน้าพระ  เราอัญเชิญผ้าบังสุกุลไปวาง  โดยไม่ได้ถวายพระ  แต่ให้หลวงพ่อท่านถวายเอง  นี่เป็นส่วนที่เราจัดทำให้ท่านได้มีโอกาสทำบุญกับมือของท่าน  นอกนั้นเป็นการบำเพ็ญความดีที่เราทำถวายท่าน   ตามแบบอย่างที่หลวงพ่อท่านเคยทำให้ดู  อยู่ให้เห็น  เย็นให้ได้สัมผัส  แล้วร่วมกันอุทิศถวายแก่ดวงวิญญาณของท่าน   ความดีในส่วนที่เราทำถวายท่านนี้เรียกว่า  บุญสมทบทุน

การที่พวกเรามาร่วมกันทำบุญถวายหลวงพ่อตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้  ถามว่าพวกเราได้อะไรบ้าง?  สิ่งที่ได้จากการมาทำบุญของพวกเราโดยสรุป  ๓  ประการ  คือ

๑. ได้ร่วมบูชาความดีของหลวงพ่อผู้จากไป                                      

๒.  ได้ร่วมแสดงน้ำใจในฐานะเจ้าภาพ                                                          

๓.  ได้ร่วมกันซึมซาบในสัจจธรรม

ประการที่  ๑  การบูชาความดีของหลวงพ่อผู้จากไป  การบูชาความดีเป็นกิจที่มีความสำคัญ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสบอกไว้ในมงคลสูตรว่า  ปูชา  จ  ปูชนียานํ  เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ  การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นมงคลชีวิตอย่างสูงสุด  ท่านผู้ใดไปบูชาผู้ที่ไม่ควรบูชาก็เป็นเหตุนำพาชีวิตให้ตกต่ำ  ดุจดังพระเจ้าอชาตศัตรูไปบูชาพระเทวทัต  ในที่สุดถึงกับทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย  เมื่อหันกลับมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็เป็นเหตุให้พระองค์ได้มีโอกาสบำเพ็ญหิตประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา  เช่นการเป็นองค์อุปถัมภ์การทำสังคายนาครั้งที่  ๑  เป็นต้น

บุตรของพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อมัฏฐกุณฑลี  บิดาเป็นผู้ตระหนี่  ไม่ได้พาเข้าวัดให้ทานรักษาศีลและฟังธรรม  เมื่อป่วยใกล้ตาย  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม  ในขณะที่เธอจ้องมองพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจที่เลื่อมใส  เรียกว่าถวายใจบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แม้ไม่สามารถยกมือขึ้นประนมไหว้ได้  เมื่อทำกาละแล้วก็ได้ไปบังเกิดบนสรวงสวรรค์

เมื่อพวกเราปรารภสิ่งดีงามที่หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณได้บำเพ็ญไว้  อันเกิดประโยชน์แก่ชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  เราจึงได้พร้อมใจกันบูชาความดีของท่านอย่างเต็มกำลังความสามารถ  ดอกไม้แต่ละดอกที่นำมาประดับประดา  ทำให้ผู้ที่ตายก็เหมือนเป็น  เหม็นก็เหมือนหอม  เกิดขึ้นจากการที่เรามาร่วมบูชาความดีของหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณ  ประกาศความดีของท่านให้เป็นที่ปรากฏ 

การประกาศความดีของท่านให้เป็นที่ปรากฏนี้เรียกว่า  การบูชา  เพราะการบูชาคือการยกย่อง  การบูชาคือการเชิดชู  การบูชาคือการประกาศคุณความดีของผู้ที่เราบูชาให้เป็นที่ปรากฏ  พวงหรีดดอกไม้แต่ละพวงล้วนเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความดีของท่านผู้จากไป  สมดังวจนประพันธ์ที่ว่า

อันพวงหรีดที่รายล้อมเข้าโอบอ้อมให้อุ่นใจ                            ด้วยรักด้วยอาลัยด้วยสายใยที่ผูกพัน                                                  ดอกไม้ทุกๆดอกคือสิ่งบอกงานสร้างสรรค์                            ความดีนับอนันต์เพียรมุ่งมั่นตลอดมา                                     ตระการทุกแห่งหนทุกผู้คนคร่ำครวญหา                                              แต่ละดอกคือเหรียญตราคงคุณค่าของความดี

          กิจคือการบูชาความดีนี้  ถ้าเราให้ความสำคัญแก่คนที่ทำความดี  ก็จะทำให้ผู้ทำความดีนั้นเกิดขวัญเกิดกำลังใจในการทำความดียิ่งๆขึ้นไป  เพราะมีความรู้สึกว่าทำดีแล้วได้ดี  แต่ถ้าเห็นเขาทำความดีแล้ววางเฉยหรือไปริษยา  มุ่งร้ายต่อผู้ที่ทำความดี   ในฐานะปุถุชนก็จะทำให้ผู้ทำความดีนั้นหมดขวัญกำลังใจ      เกิดความลังเลว่าทำดีได้ดีจริงหรือ และในที่สุดก็ท้อถอยในการที่จะทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป  เพราะมีความรู้สึกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี 

ถ้าเราต้องการให้คนดีมีเต็มแผ่นดิน  ให้ประเทศนี้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง  ก็ต้องร่วมกันบูชาความดี  ให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้ที่ทำความดี  ดังนั้นการบูชาผู้ที่ควรบูชาจึงเป็นมงคลชีวิตอย่างสูงสุด

ประการที่  ๒  การแสดงน้ำใจในฐานะเจ้าภาพ  การบำเพ็ญกุศลในแต่ละวันแต่ละคืนนี้ที่เกิดขึ้นนี้สำเร็จได้เพราะอาศัยน้ำใจของท่านทั้งหลาย  ยามที่ยังมีชีวิตอยู่เราอาจจะแสดงน้ำใจเกื้อกูลแก่กันและกัน   เรียกว่าหมูไปไก่มา  การแสดงน้ำใจอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา  เพราะการปฏิการะย่อมเกิดขึ้นได้ในภายหลัง  แต่การแสดงน้ำใจในขณะนี้ถือว่าเป็นความพิเศษ  เพราะผู้ที่เราแสดงน้ำใจด้วย  ไม่มีโอกาสแม้จะกล่าวคำว่าขอบคุณ  ขอบใจ  แต่ถึงอย่างนั้น  ทุกท่านก็เต็มใจมาทำบุญอุทิศถวายสมดังวจนประพันธ์ที่ว่า

อันความกรุณาปรานี                           จะมีใครบังคับก็หาไม่                         หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ  จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

            กิจที่ทุกท่านกระทำให้เป็นไป  เป็นเครื่องแสดงถึงน้ำใจไมตรีที่ทุกท่านได้มีในหลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณ  อันปกติความมีน้ำใจนี้  ท่านกล่าวว่าควรจะแสดงใน  ๓  โอกาส  คือ  ๑.  ยามจน  ๒  ยามเจ็บ  ๓.  ยามจาก

          ๑.  ยามจน  คือยามที่ตกอับ  เกิดภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ตกทุกข์ได้ยาก  ท่านผู้ใดได้ช่วยเหลือเกื้อกูลในขณะนั้น  เรียกว่าทำดีถูกกาล  จำไม่ลืม                                               ๒.  ยามเจ็บ  ในขณะที่โรคาพยาธิเบียดเบียน  นอนอยู่ที่โรงพยาบาล  ท่านผู้ใดได้ไปเยี่ยมเยียน  แสดงความรักความห่วงใยในขณะนั้นก็เรียกว่าทำดีถูกกาล  จำไม่ลืมอีกเหมือนกัน                                                                                                                           ๓.  ยามจาก  คือในขณะที่ล้มหายตายจาก  ท่านผู้ใดไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลศพ  แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าทำดีถูกกาล  ญาติมิตรของผู้วายชนม์นั้นก็จำไม่ลืม 

ใน  ๓  โอกาสนี้  ยามจนก็ยังมีโอกาสรวย   ยามเจ็บก็มีโอกาสหาย  แต่ยามจากคือตายไปแล้วไม่มีโอกาสฟื้น   ถ้าไม่มาตอนตายก็เรียกว่าหมดโอกาสจะได้มาอีก  เพราะยากนักที่จะมีการตายครั้งที่  ๒  ในชีวิตเดียว  จะเห็นว่าวัฒนธรรมประเพณีไทย  ถ้าคนที่เรารู้จักมักคุ้นมีบุพการีจากไป  ถ้าไม่บอกกันบางทีถึงกะเคืองกันก็มี  เพราะถือว่าไม่ให้ความสำคัญ  จึงไม่บอกกัน

ประการที่  ๓  การได้ซึมซาบในสัจจธรรม  ยามที่เรามาในงานศพ  ท่านได้กำหนดให้เราภาวนาว่า  เอวังภาวี  เอวัง  อะนะตีโต  หรือภาวนาว่า  มะระณะธัมโมมหิ  มะระณัง  อะนะตีโต  คำภาวนานี้ท่านต้องการให้เราเอาท่านผู้ตายเป็นอาจารย์    เราผู้มาร่วมในงานเป็นนักศึกษา  เรียกว่ามาเจริญมรณสติ  นึกถึงความตายเป็นอารมณ์  เพื่อมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท  เพราะเพียงเราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย  หรือหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย  ความตายจึงอยู่ที่ปลายจมูกก็ว่าได้ 

ดังนั้นท่านจึงให้เรากำหนดภาวนาด้วยคำดังกล่าวข้างต้น  เพื่อให้เรารู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิตตามนัยแห่งคำภาวนาซึ่งแปลเป็นภาษาไทยแบบร้อยกรองได้ใจความว่า

ร่างที่นอนเห็นในโลงอยู่ตรงหน้า                                            แต่ก่อนมาเขาก็เป็นเหมือนเช่นฉัน                                     อย่างที่เขานอนอยู่ไซร้ในโลงนั้น                                             ไม่ช้าพลันฉันจะเป็นเช่นเขาเอย

หลวงพ่อพระครูโอภาสพรหมคุณ  ท่านได้เอาร่างของท่านเป็นอุปกรณ์สอนเราอยู่เหมือนกัน  แต่สอนเป็นภาษาธรรม  แปลเป็นภาษาคนได้ใจความว่า 

ท่านผู้ผ่านร่างข้า                      จงฟัง                                                   ครั้งหนึ่งข้าก็เป็นดั่ง                ท่านนี้                                                              ไม่นานร่างท่านพัง                   ดังร่าง    เรานา                                      เตรียมเถิดเตรียมตัวลี้               ติดต้อย               ตามเรา 

หลวงพ่อบอกให้เราเตรียมตัวตามท่านไป  ถามว่าเตรียมอย่างไรถึงจะสวย  ม้วยอย่างไรถึงจะมีความสุข  ตอบว่าต้องทำตามแบบอย่างที่หลวงพ่อได้ทำ  หลวงพ่อท่านเตรียมตัวก่อนตายอย่างไร  ท่านเตรียมตัวก่อนตายดุจดังวจนประพันธ์ที่ว่า 

เตรียมสร้างทางชอบไว้           หวังกุศล                                              ตัวสุขส่งเสริมผล                    เพิ่มให้                                     ก่อนมฤตยูดล                          เผด็จชีพ    เทียวนา                              ตายพรากจากโลกได้               สถิตด้าว  แดนเกษม

            อันว่าบุคคลผู้เตรียมตัวก่อนตายก็คือบุคคลผู้ไม่ประมาท  เมื่อได้หรือมีอะไรก็จะไม่หลงไม่มัวเมา   เป็นอยู่ด้วยความรู้เท่าทัน  เพื่อเตือนสติให้มีความรู้เท่าทัน  ครูบาอาจารย์หลายท่านจึงแนะนำวิธีการเตือนตนไม่ให้ประมาทไว้หลายวิธี  เช่นพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธวรญาณ  (มงคล  วิโรจโน)  อดีตเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส  ได้แนะนำว่า  ยามที่มีหรือได้อะไรมาให้เสกเสียก่อนว่าอาศัยชั่วคราว  ได้เงิน  บ้าน  รถ  ที่ดินมาก็อาศัยชั่วคราว  ได้สามี  ภรรยา  บุตรธิดาหลานมาก็อาศัยชั่วคราว   เมื่อเสกแล้วก็จะไม่เมาในสิ่งที่มีสิ่งที่ได้”   บุคคลผู้เป็นอยู่ด้วยความไม่มัวเมาในทรัพย์สมบัติมีหรือได้เท่าไรก็มีความสุข  ตรงกันข้ามกับคนที่เมาในทรัพย์สมบัติมีหรือได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ  มีเป็นแสนล้านก็ไม่รู้จักพอ  ยิ่งมียิ่งได้ทรัพย์สมบัติมาก    ความสุขยิ่งหนีห่าง  ก็เลยต้องวิ่งหาความสุขด้วยการละโมบโลภมากไปกว่าเดิมไปตลอดชีวิต

            หลวงพ่อดีรูปหนึ่งแนะนำว่า  ได้เงินเดือนมาก่อนใช้ใส่พานเสกก่อนว่า  เงินก้อนนี้แต่ก่อนเป็นของใครกูไม่รู้  แต่ตอนนี้มันเป็นของกู  แต่มันไม่เที่ยง  ไม่เราจากมัน  มันก็จากเรา  ไม่จากเป็นก็จากตาย   พอเลยต้นเดือนไป  ลูกเอาไปบ้าง  เมียเอาไปบ้าง  ผัวเอาไปบ้าง  หรือพระเรี่ยไรบ้าง  มัน            หมดไปก็ทำใจได้ทันว่า  กูว่าแล้ว

            แม้ได้เครื่องประดับคือสายสร้อยทองคำมา  ก่อนจะเอาใส่คอก็ให้ใส่พานเสกก่อนว่า  สายสร้อยเส้นนี้แต่ก่อนเป็นของใครกูไม่รู้  แต่ตอนนี้มันเป็นของกู  แต่มันไม่เที่ยง  ไม่เราจากมัน  มันก็จากเรา  ไม่จากเป็นก็จากตาย  พอเราออกไปเที่ยวตลาดหรือเที่ยวห้าง  ถูกจิ๊กโก๋มันแย่งชิงเอาไป  ก็จะทำใจได้ทันว่า  กูว่าแล้ว

          หนุ่มสาวจะแต่งงานกัน  พอขึ้นตั่งหลั่งน้ำสังข์   ก็ต้องเสกเหมือนกัน  แต่ขอย้ำว่าให้เสกในใจ  เช่นเจ้าสาวเสกเจ้าบ่าวว่า 

หมายเลขบันทึก: 547748เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2013 12:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กันยายน 2013 12:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท