เมื่อไม่นานมานี้ จ้อได้มีโอกาส ไปงานพิธี พระราชทานเพลิงศพ พระผู้ใหญ่ที่สำคัญ องค์หนึ่ง ของจังหวัดตาก ได้เห็นเขาจัดสร้างปราสาท เพื่อบรรจุศพ และปราสาทนั้นเทินอยู่บนหลัง ของนกหัสดีลิงค์ ซึ่งเคลื่อนไหวได้ ซึ่งชาวเหนือเชื่อว่าเป็นพาหนะ พาไปสู่สวรรค์
จ้อ เลยลองไปค้นคว้าดู เพราะ น่าสนใจมาก
ประเพณีลากปราสาท ล้านนา
.
"จากพงศาวดารโยนก ตอนหนึ่ง จุลศักราช 940 ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ.....นางพระญาวิสุทธิเทวี....ต๋นนั่งเมืองนครพิงค์...ถึงสวรรคต พระญาแสนหลวงจึงแต่งการพระศพ....ทำเป๋นวิมานบุษบกตั้งอยู่บนหลัง....นกหัสดินทร์ตั๋วใหญ่....แล้วฉุดลากไปด้วยแฮงจ๊างคชสาร......จาวบ้าน จาวเมืองเดินตวยก้น.....เจาะก๋ำแปงเมืองออกไปตางต่งวัดโลกโมฬี....และทำก๋ารถวายพระเพลิง ณ ตี้นั้น.....เผาตึงฮูปนกหัสฯและวิมานบุษบกนั้นตวย..... "
.
.
ฉันได้อ่านจากตอนหนึ่งของคำกล่าวอ้างอิงถึงพงศาวดารโยนก ทำให้ได้ทราบว่า เมื่อเจ้านายฝ่ายเหนือ ได้สิ้นชีพิตักษัยลง การจัดประเพณีศพของเจ้านายสมัยนั้น ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติด้วยการสร้างบุษบกสวมทับพระโกษตั้งบนหลังนกหัสดินทร์ ฉุดลากด้วยช้าง และให้ชาวบ้านชาวเมืองเดินตามขบวนแห่ไปยังสุสาน ในยุคสมัยผ่านมาพิธีศพนี้ได้นำมาใช้กับพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วย
.
.
นกหัสดีลิงค์ เป็นนกใหญ่ตัวโตเท่าช้าง เรียก ชื่อตามเจ้าของภาษาว่า หัตถิลิงคะสะกุโณ เรียกตามภาษาของเราว่า นกหัสดีลิงค์ ตามประวัติศาสตร์ล้านนาที่เล่าขานต่อกันมาว่า นกหัสดีลิงค์เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ที่มีความพิเศษคือมีเพศเพียงดั่งช้าง เป็นนกที่มีหัวเป็นช้าง มีหางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างเอราวัณ ๓-๕ เชือกรวมกัน ซึ่งเป็นสัตว์คู่บารมีของกษัตรา เจ้าเมืองผู้มีอำนาจบารมีสูง
.
.
โดยความเชื่อของชาวล้านนามาแต่อดีตกาล นิยมสร้างปราสาทนกหัสดีลิงค์เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์เจ้านายฝ่ายเหนือ รวมถึงพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่มรณภาพลง เพื่อให้พิธีศพมีความสง่างาม สมฐานะบารมี และเป็นการส่งดวงวิญญาณไปสู่ชาติสรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก เทวโลก แต่ในปัจจุบันปราสาทนกหัสดีลิงค์นิยมใช้ในพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น
.
.
โดยรูปลักษณะของตัวนกหัสดีลิงค์นั้น มีรูปร่างโครงสร้างส่วนหัวและลำตัวทำจากโครงไม้ ตัดแต่งกระดาษเป็นลวดลายทำเป็นเกล็ด ส่วนหัวช้าง มีความพิเศษของการเคลื่อนไหวไปมาได้ โดยชิ้นส่วนคอและหัวต้องเคลื่อนไหวหมุนไปมาได้ ใบหู สามารถพับกระพือได้ ส่วนงวงทำจากผ้าเย็บเป็นทรงกระบอก เลียนแบบงวงช้าง มีเชื้อกร้อยอยู่ด้านในสำหรับดึง เคลื่อนไหวได้ ดวงตา ต้องมีลักษณะกลมมน ขนตายาวสวย กะพริบได้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ
.
.
ส่วนหางทำจากเสื่อไม้ไผ่ ตัดเป็นรูปหางหงส์ มีลวดลายสวยงาม โดยส่วนนี้จะติดตั้งคนละส่วนกับลำตัว มีกลไกใช้เชือกชักให้เคลื่อนไหวได้ ด้านหน้ามีขันเล็กๆ บรรจุข้าวตอกไว้ เพื่อโปรย ลักษณะเหมือนช้างใช้งวงโปรยข้าวตอกเพื่อเป็นสิริมงคล
.
.
การลากต้องใช้เชือกเส้นโต ๆ หลายเส้นขนานกันไป ถ้าศพเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่จะมีคนมาลาก เป็นหมื่น ๆ ทีเดียว ชักลากไปสุสาน
ร่วมแรงรวมพลัง มีความเชื่อที่ว่า หากผู้ใดไป ลากปราสาท จะมีอายุเพิ่มขึ้นยืนยาว ครั้งละ 1 ปี เส้นทางสู่ป่าช้า สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ยอดปราสาท ฉัตรเบญจา ๕ ชั้น เป็นเครื่องประดับเกียรติยศของพระมหาเถระ ตามสมณศักดิ์ของพระมหาเถระผู้นั้น ตามความเชื่อมาแต่โบราณ การชักลากช่วงสุดท้าย
.
.
รอบปราสาท 4 ทิศ จะมีเสาไม้ไผ่สูงสุดลำ ขึงผ้าสังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) ของพระสงฆ์ผู้มรณภาพ มีความหมายแทนศีลของพระสงฆ์ เรียกว่าจตุปริสุทธศีล เสาต้นที่ ๑ หมายถึง ศีลทั้ง4 ข้อ คือ ปาติโมกข์สังวร อินทรียสังวร อาชีวะปริสุทธศีล ปัจจัยสัจนิจศีล หลังการจุดไฟประชุมเพลิงเผาศพปราสาท แล้วศรัทธาญาติโยม รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาของพระมหาเถระที่มรณภาพจะรอแย่งผ้าเพดานที่ขาดปลิวลงมาถึงพื้นเพื่อเก็บเป็นเครื่องสักการบูชา เป็นวัตถุมงคลไว้ติดตัว
ขอบคุณ ข้อมูลจาก www.google.com
ขอบคุณบันทึกที่ดีมีประโยชน์นะคะ...