จดหมายถึงลูก "เพรียง" ฉบับที่ ๑๑ ตอนผลผลิตจากการทำนาข้าว


จดหมายถึงลูก "เพรียง" ฉบับที่ ๑๑ ตอนผลผลิตจากการทำนาข้าว

          นับจากที่เจ้าตัวเล็ก "น้องเพรียง" ขอพักเรื่องการเรียนไว้ก่อน แล้วหันมา "ทำอาชีพเกษตรกร" ในวัยเพียง (ย่างเข้า ๒๓ ปี) ได้ทำนาของพ่อเร + แม่บุษ เป็นนาของตนเอง แต่หนูก็ได้ให้ค่าเช่านากับพ่อเร เพื่อเก็บไว้ดูแลตาซึ่งเป็นอัมพฤกษ์...หนูได้ประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตการทำนา หนูได้เรียนรู้เรื่องการทำนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไถนา การปรับที่นา การหว่าน การใส่ปุ๋ย การฆ่าแมลง การดูแลข้าวเพื่อให้ออกรวง การรู้จัก "ข้าวดีด" ๓ - ๔ ครั้งที่หนูมีประสบการณ์ด้านนี้ หนูเรียนรู้ด้วยตนเอง นับเป็น "ทักษะชีวิต" จริง ๆ ที่หนูได้รับด้วยตนเอง เพราะงานนี้จะมีแค่พ่อเรที่คอยไปเป็นเพื่อน คอยบอกกับหนู ส่วนแม่นั้น แม่ต้องทำหน้าที่ของแม่จนกว่าจะถึงอายุครบ ๖๐ ปี เมื่อใด พวกเราจะได้ไปอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนคู่คิดในการแก้ไขปัญหาในการทำนาต่อไป...

          หนูได้เรียนรู้เรื่องการทำนามาก เรียกว่า หนูเก่งกว่าพี่ภัครมากในเรื่องของการทำนา เพราะหนูเกิดประสบการณ์ หนูพบเจอด้วยตนเอง หนูเคยบอกแม่ว่า...สำหรับแม่ทำงานในตำแหน่งสูง ๆ แม่ก็เจอปัญหาต่าง ๆ มากมายแต่คนละแบบกับของเพรียง สำหรับเพรียงต้องต่อสู้กับธรรมชาติ เพลี้ย หนู ฯลฯ ซึ่งเป็นคนละแบบกัน...ความคิดของลูกแม่ แม่คิดว่า...หนูโตขึ้นมากสำหรับความคิดของหนูที่คิดแบบนี้...หนูเคยถามแม่ว่า ถ้าเพรียงจะเรียนต่อจะเรียนอะไรดี แม่ตอบว่า..."แล้วหนูชอบอะไรล่ะ? ชอบอะไรก็เรียนสิ่งนั้น เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวหนูเอง แล้วแม่ก็เล่าสาขาต่าง ๆ ให้กับหนูฟัง...หนูก็ตอบแม่ว่า...เดี๋ยวค่อยคิดก่อน...นี่ก็คือความคิดของหนู ที่แม่ก็ไม่รู้ว่าหนูคิดได้ตอนไหนว่า "นึกอยากเรียนต่อ"

          สำหรับความคิดของแม่ ณ ขณะนี้ แม่มีความคิดว่า...การเรียนดีสำหรับทุกคน แต่ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนจะรับการเรียนรู้ที่แท้จริงได้มาก น้อยเพียงใด...เพราะปัจจุบัน การเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาจจะไม่มีใบปริญญาวิชาชีพรองรับ แต่จะมีใบปริญญาชีวิตรองรับแทน...ซึ่งแม่ก็ไม่รู้ว่าแม่คิดผิดหรือคิดถูก แต่ ณ ขณะนี้ แม่คิดแบบนี้จริง ๆ อาจเป็นเพราะว่า แม่อยู่ในสังคมที่เรียกตนเองว่า เป็นสังคมชั้นสูงก็ได้ แม่เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย พบเจอสิ่งต่าง ๆ มาก็มาก แต่สิ่งหนึ่งที่แม่อยากเห็น อยากได้ อยากเป็น นั่นคือ "ความสุข" มากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะความสุขจะทำให้ตัวเราเกิดการสุขกาย + สุขใจ มากกว่า

          ส่วนครั้งนี้ นาข้าวที่หนูทำได้นี้เป็นน้ำพัก น้ำแรงของหนูที่ได้ลงมือทำ หนูไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยสักคำ แม้ว่า มันจะต้องตากแดด หนูไม่เคยพูดให้แม่กับพ่อเรว่า "ลำบาก" เลย แต่สีหน้า ท่าทาง แววตาของหนู ดูเหมือนหนูรักกับอาชีพนี้...เมื่อขายข้าวเสร็จ แม่เห็นหนูกับน้องอ้อม ใส่ทอง ไม่ว่าสร้อย + แหวน แม่ยังแซวหนูว่า "รวยจัง" หนูได้แต่ยิ้ม ๆ แม่ก็บอกว่า ค่อย ๆ ทำไป หนูบอกแม่ว่า...หนูเก็บตังค์ฝากไว้เป็นค่าเทอมของ "ฟ้าคราม" แล้วนะ เก็บไว้ ๒๐,๐๐๐ บาท...ส่วนความฝันของเพรียง คือ "ซื้อรถยนต์สักคัน" เพราะอยากได้เป็นของตัวเอง แม่บอกว่า...ค่อยเป็น ค่อยไปนะ ถ้าทำแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เองแหล่ะ!!!

 

(นี่คือ...ผลผลิตจากการทำนาข้าว...ผืนนาที่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ทิ้งไปเพื่อแสวงหาการทำมาหากินในโลกของการทำงานในแหล่งทำงานต่าง ๆ บริษัท...ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่า ผืนนาก็เป็นแหล่งที่พวกเขาสามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองได้...ถ้าพวกเขาไม่รังเกียจฐานดั้งเดิมที่พ่อ - แม่ ส่งเสียเงินทองให้พวกเขาได้เรียนจากผืนนาผืนนี้)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 545918เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2013 20:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 สิงหาคม 2013 08:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท