.
.
นีโม... ปลาการ์ตูนตัวน้อย จากภาพยนต์แอนิเมชันของค่ายพิกซาร์ ปี 2546, ภาพยนต์ข้างบนนี้เป็นโฆษณาเชิญชวนให้เด็กทั่วโลกฝึก และซ้อมว่ายน้ำ
สำนักข่าวรอยเตอร์ตีพิมพ์เรื่อง "รักษา(มะเร็งเม็ดเลือดขาว / ลิวคีเมีย)น้องนีโม สู่งานวิจัยใหม่", ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
.
ภาพที่ 1: โรงแรมแห่งหนึ่งมีจุดขาย คือ ทัวร์ทางน้ำ ไปให้อาหารหมู
.
ภาพที่ 2: นี่ครับ... น้องนีโม
.
ภาพที่ 3: น้องนีโมหน้าซื่อๆ ลองดูไปที่ลูกตามันสิ
.
คุณจอร์จ โกวด์เนอร์ มีสัตว์เลี้ยงแบบว่าน่ารักๆ 6 ตัว เป็นหมูทั้งหมด
ทว่า... น้องนีโมวัย 4 ขวบ หนัก 331 กิโลกรัม มีท่าท่างเปลี่ยนไป
คือ อยู่ๆ ก็หยุดกินอาหาร และหยุดแช่โคลน (ของชอบของน้องๆ)
ท่านจึงพานีโมขึ้นรถ 2 ชั่วโมงไปที่โรงพยาบาล "คูหา (Cornell University Hospital for Animals / คูฮ่า)" ของมหาวิทยาลัยคอร์แนวล์
.
ผลการตรวจพบว่า น้องนีโมเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลิวคีเมียชนิดบีเซวล์ (B-cell lymphoma)
อาจารย์หมอที่นั่นบอกว่า ไม่เคยรักษามะเร็งในหมูมาก่อนเลย
คุณโกวด์เนอร์เลยบอกหมอว่า น่าจะลองรักษาน้อง
โดยใช้ประสบการณ์จากการรักษาน้องหมาและคนรวมกัน
.
ที่สำคัญ คือ แพงเท่าไรก็จ่ายได้
4 เดือนผ่านไป... นีโมก็หาย นับเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่สุดที่ผ่านการรักษามะเร็งสำเร็จ
อ.ดร.เอมิลี บาร์เรวล์ แพทย์ประจำบ้านที่ดูแลรักษาน้องบอกว่า
การให้ยาเคมีบำบัดหมูยากกว่าคนมาก โดยเฉพาะหมูไม่ใช่ "เด็กเส้น"
.
การจะหาเส้นเลือดหมูแต่ละเส้นทำได้ยากมากๆ
ขาก็หนา ไม่เห็นเส้นเลือดง่าย แถมยังอาจนอนทับตอนกลางคืน
คอก็ใหญ่ หนังก็หนา ชั้นไขมันใต้ผิวหนังก็หนา
ทำให้หาเส้นได้ยาก
.
ทว่า... อาจารย์หมอจากคอร์แนวล์ก็พัฒนาวิธีจัดการกับพวก "ไม่มีเส้น" จนได้
หลักการ คือ ผ่าบริเวณหลังหูน้อง (ดมยาสลบ)
นำพอร์ท หรือแท่นสำหรับแทงเข็ม (vascular access port) ขนาดเล็ก
ต่อเข้ากับเส้นเลือดดำที่คอ (jugular vein)
.
แล้วเย็บปิด คล้ายกับที่ทำในคนไข้ฟอกไต
พอร์ท หรือแท่นสำหรับแทงเข็มได้หลายครั้ง มีใช้มาก่อนในน้องหมา และคน
ตอนนี้น้องนีโมอยู่ในระยะมะเร็งสงบดี (remission) ไม่มีอาการ
ตอนนี้ทาง รพ.คูหา หรือ รพ.คูฮ่า กำลังคิดสตางค์อยู่
.
ค่ายาสำหรับสัตว์ขนาดน้องโกลเดน รีทรีฟเวอร์ เฉลี่ย = 4,500 ดอลลาร์ฯ = 135,000 บาท
คาดว่า ค่ายาน้องนีโมน่าจะตกประมาณ 7-8 เท่า, เฉลี่ย 7.5 เท่า = 1,012,500 บาท
นี่ยังไม่ทราบว่า ทาง รพ.จะคิดค่าหมอ ค่าหัตถการหรือค่าลงมือทำ เช่น ค่าให้ยา ค่าทำทางต่อเส้นเลือด ฯลฯ หรือไม่
เรื่องที่รู้ตอนนี้ คือ รพ.ได้หน้า,...
.
อาจารย์หลายๆ ท่านจะได้ผลงานวิจัย
ซึ่งอาจจะได้ดิบได้ดีเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์, รองศาสตราจารย์อะไรกัน
ทางคุณโกวด์เนอร์ก็พอใจที่น้องกลับมากินอะไรอร่อยๆ ได้อีก
นี่เป็นข่าวดีสำหรับน้องนีโมตัวน้อยๆ
.
คนเราควรเตรียมตัวให้เป็น "เด็กเส้น" ไว้บ้าง
อย่างน้อยเวลาไปเจาะเลือดตรวจโน่นนี่, ไปบริจาคเลือด, หรือไปรักษาโรคจะทำให้หาเส้นเลือดได้ง่ายขึ้น
วิธีการทำตัวเป็น "เด็กเส้น" ที่ง่ายๆ คือ
หาที่บีบมือ (hand grip) มา, ใช้ผ้าหุ้ม เพื่อกระจายน้ำหนัก (ลดเสี่ยงนิ้วล็อค)
.
แล้วบีบ 10 ครั้ง 3 เซ็ต วันเว้นวัน
จะใช้วิธีฝึกแบบ "ฟาร์เมอร์ วอล์ค (Farmer's walk)" ก็ได้
คือ หาของหนักหน่อย เลือกที่จับให้ใหญ่ ใช้ผ้าหุ้ม เพื่อกระจายน้ำหนัก
เช่น ลูกต้มน้ำหนัก กระเป๋าเดินทาง ฯลฯ มาถือ ห้อยแขนลง แล้วเดินออกกำลังกาย
.
ไม่นาน... จะเริ่มเป็นเด็กเส้น
ไปไหนก็มีเส้น
จะเจาะเลือด หาเส้นอะไร
เป็นดีทั้งนั้น
.
ที่ดีที่สุด คือ เวลาป่วยหนัก อุบัติเหตุ หรือช็อคอะไรนี่
คน "เส้นใหญ่ (หาเส้นง่าย)" มีโอกาสรอดสูงกว่า
เพราะยิ่งหาเส้นได้เร็ว
เร็วกว่าตรงนี้... อาจจะหมายถึงชีวิต(รอด)
.
ทุกวันนี้ผู้บริจาคเลือดประจำมีสิทธิ์สมัครเข้าคิวบริจาคไขกระดูก
คุณสมบัติข้อหนึ่ง คือ ต้องเป็น "เด็กเส้น"
"เส้น" ที่อื่นก็ไม่ได้ ต้องมีเส้นเลือดดำตรงกลาง ด้านหน้าข้อศอกที่เห็นชัด และใหญ่พอ
ประเทศไหนมี "เด็กเส้น" แบบนี้มากๆ... ประเทศนั้นจะได้เปรียบในการแข่งขันกับนานาชาติครับ
ดีใจกับน้องด้วยนะคะ...
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ ที่กรุณาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ค่ะ