จดหมายถึงครู l ครูชี้ทางรอด


จดหมายถึงครู l ครูชี้ทางรอด

วันอาทิตย์  ที่ 23 มิถุนายน 2556

กราบสวัสดีค่ะครู

    วันทั้งวันหนู เป็นอะไรที่หนัก ๆ อยู่ข้างใน ครูเมตตาชี้ แต่ก็เหมือนใจหนูต้าน มานึกทบทวนตอนเขียน 

ก็เข้าใจครู ว่ามันยากที่จะชี้ให้หนูแก้ไข 

ข้อดีของหนู คือ ยังอยู่ อยู่เพื่อ อยู่ จึงยังมีโอกาส 

เพราะเมื่อวานครูเมตตาชี้ทาง แล้วให้ระลึกถึงคำมั่นที่ให้ไว้กับหลวงปู่ว่า

สอง สามปี นี้อย่าพึ่งไปไหน จนกว่าเจดีย์ จะเสร็จ ระลึกกับตนเองเป็น 3 ท่อน 

น้อง ได้ครบ 2 ปี วันที่เขาลาสิกขา แล้วต้องออกจากวัดพอดี 

แต่หนูยังพอมีโอกาสแบบมีทางรอด

เมื่อเช้าที่ลานธรรม ระลึกอธิษฐานอยู่ข้างในว่า

"ขอโอกาสหลวงปู่เมตตาชี้ทางให้หนูมีปัญญา หาทางไม่เนรคุณครู ให้พ้นกิเลสที่บีบอยู่ข้างใน เมตตาบอกทางหนูด้วยเจ้าค่ะ"

ก็เหมือนฟังเทศน์หลวงป สลับกับเหม่อ แล้วใจก็เหมือนวูบมาได้ยินว่า

"ก็มาอย่างนี้ มาขัดเกลากิเลส มาจำศีลกินทาน ประหารกิเลส"

เหมือนกิเลสข้าในร้องจ๊าก เพราะมันอยากหนี แต่ก็อยู่แบบหนัก ๆ 

เรื่องนำบาตรไปถวายครู ก็ไม่ไตร่ตรอง แต่พอครูชี้ว่า ทำแบบนี้คนจะปรามาสครูได้ 

เห็นความคิดแบบไม่รอบคอบของตน คิดเอาแต่ได้ของตนเอง 

ออกแนวประชดประชันของจิตมากกว่า หาทางทำโดยใช้ปัญญา

ข้อดีของวันทั้งวันคือ มันระลึกถึงภารกิจที่ครูมอบหมาย ทั้งทาง Facebook และที่ครูโทรแจ้ง แล้วจดไว้กับตนเอง

ปลูกลีลาวดีเพิ่ม ทำชั้น ปลูกตะไคร้หอม 

ทั้ง ๆที่ใจก็ยังหนักไปด้วยพิษ 

ปลูกลีลาวดีแล้วครูก็เมตตาชี้ว่า เติมตรงไหน ทำชั้น ครูก็ชี้ว่า ทำแบบไหนน่าจะเร็ว และหนูคิดซันซ้อนเกิดไป

หากไม่ได้ครูชั้นท่าทางไม่เสร็จแน่ๆ เจ้าค่ะ

ปลูตะไคร้หอมก็ได้น้องหนุ่ยกับแม่ขาวน้อยตาลและมดแดง มาช่วยกัน ทั้งตัด ทั้งปลูก แป๊บเดียว เต็มพื้นที่ แต่ใจก็ยังไม่เบาเจ้าค่ะ

พอครูมาจนขับรถกลับบ้าน เหมือนหนูหมดก๊อกกับตนเอง

พอครูโทรมา จิตเกิดความก้าวร้าวเพราะทนกิเลสที่บีบคั้นไม่ไหว ปล่อยพิษความท้อแท้ ที่ใจไม่ตระหนักในศีลข้อ 1 ออกมา แต่ครูก็อดทน และเมตตาให้ทบทวนกับตนเอง แบบหมัดเด็ด โดยเอาเรื่องราวของน้องมาสอน

สอนแบบให้คิดว่า ถ้าหนูเป็นน้องหนูจะแก้ไขยังไง ในตอนที่พอแก้ไขได้

ตอบครูว่า "ก็เข้ามากราบขอขมาครู แล้วขอความเมตตาให้ช่วยชี้ทางแก้ไขเจ้าค่ะ"

แม้ใจข้างในยังไม่ได้ เพราะปัญญาไม่มีก็จะเข้ามากราบขอขมาครูก่อน 

พอครูวางสายไปนั่งนึกย้อน

จิตใจชั่วๆของหนูเหมือนน้องมาก ๆ บทเรียนที่ดี ที่มีคนจำลองเหตุการณ์ของจิตชั่ว ๆ ของหนูให้หนูได้เห็น

ระลึกถึง ปฏิปทาครูบาอาจารย์ที่เปิดที่ลานทำเมื่อเช้า

"เหตุที่ทำให้ท่านเบื่อหน่ายต่อเพศฆารวาส คือ การได้เห็นภรรยามีชู้แล้วเกิดสลดสังเวชใจ จากที่เงื้อมดาบจะฟัน ทั้งชู้และภรรยายเกิดได้คิด ว่าจะทำไปเพื่ออะไร แล้วประกาศก้องต่อหมู่ชนว่า

ขอยกภรรยาให้ชายชู้นั้น แล้วท่านก็หันหลังจากเพศฆารวาสออกบวชจนบรรลุธรรม

เป็นสัจจธรรมที่ทำให้ท่านได้บวช เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นเทวทูต 

พอเห็นแล้วก็เห็นภัย

ทั้งจากที่ได้ฟัง และหลวงปู่เมตตาเทศน์แบบชี้ให้เห็น ไล่เรียงซ้อน สอนตนเองขึ้นมา

จากการออกแรงสะกิดของครู

ตอนใกล้ถึงบ้านครูเมตตาโทรมาอีก

ครานี้ใจเบาขึ้น แล้วครูก็ชี้ว่า

"การที่เราทำอะไรแล้ว ทำได้ตามนั้น นั่นก็คือการภาวนา"

ใจหนูย้อนคิด อ้าว งั้นที่ดิ้นรนทำภารกิจทั้งๆที่ใจยังไม่ลง นี่ก็ได้แต้มนะ ไม่ใช่หนักแล้วละทิ้ง แล้วหนี

แต่ที่การอยู่และยังอยู่ก็เพราะครูเมตตาออกแรงดึงไว้ อนุโมทนาสาธุกับครูเจ้าค่ะ

ครูทบทวนเรื่อง "ทาน ศีล ภาวนาให้ใหม่"

คำที่คลิ๊กอยู่ข้างในคือ "ติ๋วเลิกเล่นเกมซะแล้วหันมาเอาจริง"

มานึกย้อน เล่นเกมบังหน้า เอาหน้า วิ่งสร้างภาพแต่ไม่แก้ไข ติดดี เกรงแต่ภาพลักษณ์ จะไม่ดี แต่ใจไม่ได้รับการขัดเกลา ถ้าขัดถ้าเกลาใจมันต้องเบาโล่งบ้าง แต่นี่หนัก

ครูชี้ซ้ำ เอาจริงก็เหมือนหลวงพี่

"บวชมาตั้งใจภาวนา เอาจริง มุ่งมรรคผลนิพพาน"

หาทางเพียรขัดเกรลาตนเอง 

ทาน อะไรก็ได้ที่ตั้งใจกับตนเองในหนึ่งวัน

ตั้งใจทำอาหารไปวัด ก็ทำ ก็เป็นถวายทาน

ตั้งใจทำอาหารไปให้เพื่อนร่วมงานทานนี่ก็ได้ก็เป็นทาน

ตั้งใจใส่บาตรนี่ก็ใช่

ศีล ต้องไปทำความรู้กับตนเอง

ครูชี้เรื่องน้อง

ว่าบวชแล้ว แต่นั่นก็ไม่รู้จักศีล

ครูยกเรื่องน้องขึ้นมาเพื่อให้หนูได้ทบทวนตนเองเพราะคล้ายกัน

ไม่มีข้อวัตร

ครูทบทวนให้ใหม่ข้อวัตรคือ 

กิจกรรมที่ตั้งใจทำเป็นประจำเพื่อขัดเกลา

ไม่ใช่แค่ทำวัตรสวดมนต์ 

การทำวัตรสวดมนต์เป็นกิจกรรม แต่ข้อวัตรที่แท้ คือ สิ่งที่กำหนดกับตนเองเพื่อขัดเกลา 

ทำให้เห็นว่า ใจหนูไปติดล๊อคเรื่อว กิจกรรม  การชี้ของครูเข้าไปปลดล็อคใจให้เห็นเรื่องข้อวัตรใหม่

ครูบอกมาตั้งนาน แต่พึ่งลงล๊อคกับใจข้างในเจ้าค่ะ

ครูถามอีก กลับไปนี่ข้อวัตรคืออะไร

ตั้งใจไปทำกับข้าวให้พ่อแม่ทาน 

ครูชี้ซ้ำออกจากวัดตั้งนาน บ่ายสี่โมง นี่จะทุ่มหนึ่งแล้วยังไม่ถึง มันใช้ไม่ได้

กว่าจะทำอาหาร ข้อวัตรก็จะไม่ได้

เห็นได้ตามที่ครูชี้ใจฮึดขึ้นมา ขับรถอย่างมีพลัง

ครูย้ำอีก ตั้งใจทำอะไรแล้วทำ นั่นคือ การภาวนา

ทำในกรอบของศีล กลับไปใคร่ครวญกับตนเอง

ภาวนาวัน ๆหนึ่งต้องมีช่วงเวลาภาวนาของตนเอง

เสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่เห็นภาวนา ใจหนูออกแรงต้านมาฮึดหนึ่ง แต่ครูก็ชี้ซ้ำ ดั่งรู้วาระจิต ซึ่งครูก็รู้อยู่แล้ว

การนั่งสำหรับติ๋วไม่ได้ผล เราบอกแล้ว

หนูแง่วกับตนเอง นึกย้อนเหตุการสองวัน

หลังสวดมนต์เสร็จ นั่งลงภาวนา นิ่ง หลับอยู่ข้างใน แบบขยับอีกที แต่ก็ไม่ได้ชำระใจอะไรเลย

ทุกข์ยังไงก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นไม่มีปัญญาอะไร

เป็นการย้ำเตือนให้หนูออกมาเดิน ยังไงก็ให้เคลื่อนไหว ไม่วิ่งก็เดิน 

ทางรอด ทางออกครูเมตตาชี้ให้ใจหนูได้สว่างกับตนเอง 

มาถึงบ้านพ่อพึ่งเข้าบ้านมา แม่ทำกับข้าวอยู่ในครัว 

หนูช้าไปจริง ๆ เข้าไปกอดแม่ แล้วก็ขอโอกาสทำต่อ ทำแกงคั่วไข่ 

หนูจึงตำแตงที่พ่อชอบ หั่นแตงโมที่พ่อหิ้วมาบอกว่า ฝากน้องน้ำตาล 

ที่มาแบบทันกาลด้วยใจที่ไม่ขุ่นมัวเพราะครูเมตตาออกแรง

ไม่งั้นถ้ามาแบบหนัก ๆ หนูนอนแน่ ๆเจ้าค่ะ ตอนที่หนัก ใจมีแว๊บว่า "กลับขอนแก่นไหมนะ ไม่อยากเอาใจหนัก ๆกลับบ้านพ่อแม่" แต่ครูก็เมตตาชี้ทางรอด

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ สาธุ


หมายเลขบันทึก: 540342เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2013 03:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2013 03:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เมื่อมีศีล  แล้วก็มีสติ  ก็จะทำให้เกิดปัญญา และจะตามมาด้วยวาสนา

เพราะวาสนาบารมี   เกิดจากปัญญา สร้างด้วยปัญญา

ซึ่งเริ่มมาจาก ศีล  สมาธิ นั่นเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท