เช้าวันที่ ๓ พ.ค.๕๖ ผมไปร่วมงาน ๒๐ ปี สกว. ได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่แนวคิดตั้ง “กองทุนสนับสนุนการวิจัย” การยกร่างพรบ. การผลักดันให้พรบ. ผ่านรัฐสภาได้แบบเฉียดฉิวในวันสุดท้ายโดยบุคคลสำคัญที่สุดคือ ศ. ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอานันท์ ๑ นอกนั้นก็มี ศ. ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน และ ศ. ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์สองท่านหลังได้ไปร่วมงานและกล่าวต่อที่ประชุมอย่างจับใจ
ปีนี้สกว. ได้รับรางวัลจากกรมบัญชีกลางเป็นกองทุนที่มีการจัดการดีเด่นในจำนวนกว่าร้อยกองทุน โดยมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล ๒ หน่วยงานและเป็นปีที่จะเปลี่ยนผู้อำนวยการสกว.จากท่านที่ ๓ ศ. ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ เป็นท่านที่ ๔ ศ. นพ. สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ท่านประธานคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ศ. นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์จึงดำริให้จัดงานนี้ขึ้น
ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานและพูด ๒ - ๓ นาที จึงเล่าเสริมความมีวิสัยทัศน์ของผู้ยกร่าง พรบ. กองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าร่างให้ สกว. มีความยืดหยุ่นสูงมาก โดยไม่ระบุโครงสร้างองค์กรของ สกว. ทำให้ฝ่ายบริหารของ สกว. สามารถเสนอ บอร์ด เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้สนองภารกิจที่ต้องการ ให้ structure สนอง function
กลับมาบ้าน นึกขึ้นได้ว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จของ สกว. คือ เราไม่ได้คิดทำงานเล็ก ระดับจัดการทุนวิจัยเท่านั้น แต่เราคิดการณ์ใหญ่ ในระดับจัดการงานวิจัย มองมิติต่างๆ ของระบบวิจัยอย่างครบด้าน และหาทางเข้าไปชักชวนภาคีร่วมกันพัฒนาความเข้มแข็งของการวิจัยทั้งระบบ เท่าที่ สกว. จะสามารถทำภารกิจนั้นๆ ได้
ในการทำงาน ผมสังเกตว่า ในหลายกรณีผู้เกี่ยวข้องทำงานด้วยกระบวนทัศน์ที่แคบ ทำให้งานมีคุณค่าน้อย เกิดผลกระทบน้อย โชคดี ที่ตอนเริ่มงาน สกว. เราใช้กระบวนทัศน์ที่กว้าง กล้าท้าทายตนเอง ให้เข้าไปอาสาทำงานที่ยาก แต่เชื่อว่ามีคุณค่าต่อสังคม สกว. จึงได้รับความชื่นชมว่า มีผลงานในระดับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการวิจัย และสร้างนวัตกรรมของการจัดการงานวิจัยของประเทศไทย
จึงขอนำมาบันทึกไว้ สำหรับชักชวนให้ช่วยกันทำงานใหญ่ ใช้กระบวนทัศน์ใหญ่ ให้แก่แผ่นดิน
วิจารณ์ พานิช
๓ พ.ค. ๕๖
ทำให้งานมีคุณค่าน้อย
...
อ่านคำนี้แล้วตกใจเลยครับ