แผนที่ 1: แผนที่โลกแสดงการบริจาคเลือดต่อประชากร 1,000 คนในปี 2008/2551 เรียงจากมากไปน้อยตามแถบสี คือ เขียว_เขียวอ่อน_เหลือง_ส้ม_แดง
สถิติผู้บริจาคเลือดเป็นสถิติที่บ่งชี้ชัดว่า คนในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ยุโรปตะวันตก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ฯลฯ บริจาคเลือดมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา
ภาพที่ 2: สถิติผู้บริจาคเลือดต่อประชากร 1,000 คนในปี 2008/2551 ซีกโลกตะวันออก เรียงจากมากไปน้อยตามแถบสี คือ เขียว_เขียวอ่อน_เหลือง_ส้ม_แดง
ถ้ามองเฉพาะเรื่องการบริจาคเลือด, ประเทศไทยอยู่ในแถบสีเขียวอ่อน = 20-20.99 ต่อประชากร 1,000 คน = แนวหน้าของอาเซียน (ไม่นับสิงคโปร์ ซึ่งก้าวไปไกลโพ้นนานแล้ว) = ไทยมีโอกาสก้าวไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วสูงกว่าชาติที่เหลือในอาเซียน
ทางที่จะเป็นไปได้... มีทางเดียว คือ จะต้องรักษาความเป็นประชาธิปไตยในไทย เพราะไม่มีประเทศเผด็จการใดที่ก้าวไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้วสำเร็จได้เลย
ถ้ามาเลเซียต้องการก้าวไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้ว... จะต้องรีบบริจาคเลือด เพื่อให้แถบสีเหลืองกลายเป็นเขียวอ่อน และเขียวแก่ให้ได้
ภาพที่ 3: สถิติผู้บริจาคเลือดต่อประชากร 1,000 คนในปี 2008/2551 ซีกโลกตะวันตก เรียงจากมากไปน้อยตามแถบสี คือ เขียว_เขียวอ่อน_เหลือง_ส้ม_แดง
สหรัฐฯ แคนาดา คิวบาบริจาคเลือดมากที่สุดในซีกโลกตะวันตก ทั้งๆ ที่คิวบาจน ซึ่งจะเรียกว่า "จนแต่มีน้ำใจ" ก็ได้
.
คิวบามีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดชาติหนึ่งในอเมริกากลาง-ใต้ ผลิตพยาบาล-หมอได้เกินใช้ จนต้องส่งออกไปทั่วอเมริกากลาง และมีตัวชี้วัดด้านสุขภาพอื่นๆ ดีกว่าชาติอื่นๆ ด้วย
มีความเป็นไปได้สูงว่า ถ้าคิวบาซึ่งมีสัดส่วนประชากรผิวขาว เชื้อสายสเปนสูง เลิกเป็นเผด็จการทหาร... ประเทศนี้จะเป็นประเทศดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในหมู่เกาะแคริบเบียน และอาจก้าวไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ก่อนชาติอื่นๆ
สำนักข่าวเดลีเมล์ หรือเมล์ออนไลน์ ตีพิมพ์เรื่อง 'Donating blood is as good for your health as it is for the receiver' = "(การ) บริจาคเลือดดีกับสุขภาพของคุณ พอๆ กับดีกับผู้รับ", ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
การศึกษาใหม่พบว่า การให้เลือด หรือบริจาคโลหิต ลดเสี่ยงโรคหัวใจ (หลอดเลือดหัวใจอุดตัน) และมะเร็ง
ภาพที่ 4: แสดงสัดส่วนเป็นร้อยละของเลือดที่บริจาค (ไม่ใช่เลือดซื้อขาย) จากเลือดทั้งหมด 100% เรียงจากน้อยไปมาก คือ สีแดง_ส้ม_เหลือง_เขียวอ่อน_เขียว
ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดใช้เลือดบริจาค 99-100% (สีเขียว), ประเทศที่ระบบบริการสุขภาพค่อนข้างดีก็มีสีเขียวได้เช่นกัน
.
แถมยังช่วย "เบิร์น (burn)" หรือใช้พลังงาน 650 แคลอรี ต่อการบริจาคเลือด 1 ไปน์ (imperial pint หรือแบบอังกฤษ = 568 ml./cc.; US pint = 473 ml./cc.)
อังกฤษ (UK) ซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับไทย มีการบริจาคเลือดวันละ 7,000 หน่วย (unit / ยูนิต)
การบริจาคเลือดช่วยนำธาตุเหล็กเก่าในเลือด (เม็ดเลือดแดง) ออกจากร่างกาย
ธรรมชาติของธาตุเหล็กอย่างหนึ่ง คือ ย่อมเกิดสนิม (ทำปฏิกริยากับออกซิเจน)
.
การมีธาตุเหล็กในร่างกายสูงเพิ่มเสี่ยงต่อปฏิกริยาการเติมออกซิเจน (oxidisation / ออกซิไดเซเชิ่น) หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า "ออกซิไดซ์" คล้ายการทำเหล็กให้เป็นสนิม และเสื่อมสภาพ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ธาตุเหล็กที่สูงเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
(1). เลือดแข็งตัวง่ายขึ้น > เพิ่มเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด หลอดเลือดอุดตัน
(2). ทำให้เลือดมีความข้นหนืด (friction / viscosity) เพิ่มขึ้น > หัวใจต้องออกแรงสูบฉีดเลือดมากขึ้น เลือดไหลเวียนได้ช้าลง
(3). ทำให้ไขมันในเลือด หรือโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือด และในคราบไขที่เกาะตามผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ (oxidizing LDL)
ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ บวม ขรุขระมากขึ้น > ตีบตันเร็วขึ้น
ภาพที่ 5: แสดงสัดส่วนเป็นร้อยละของเลือดที่บริจาค (ไม่ใช่เลือดซื้อขาย) จากเลือดทั้งหมด 100% ซีกโลกตะวันออก เรียงจากน้อยไปมาก คือ สีแดง_ส้ม_เหลือง_เขียวอ่อน_เขียว
สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยอยู่ในกลุ่มดีที่สุด คือ สีเขียว
ภาพที่ 6: แสดงสัดส่วนเป็นร้อยละของเลือดที่บริจาค (ไม่ใช่เลือดซื้อขาย) จากเลือดทั้งหมด 100% ซีกโลกตะวันตก เรียงจากน้อยไปมาก คือ สีแดง_ส้ม_เหลือง_เขียวอ่อน_เขียว
.
การศึกษาใหม่ (ตีพิมพ์ใน JAMA) ทำในกลุ่มตัวอย่างผู้ชายที่บริจาคเลือดเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน อายุ 43-61 ปี จำนวน 2,682 คน
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นโรคหัวใจ (หลอดเลือดหัวใจอุดตัน) ลดลง 88% เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้บริจาคเลือด
การศึกษาอีกรายงานหนึ่ง (ตีพิมพ์ใน NCI) ทำในกลุ่มตัวอย่างผู้บริจาคเลือดประจำทุกๆ 6 เดือน จำนวน 1,200 คน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริจาคเลือดประจำเป็นมะเร็งน้อยกว่า เสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยกว่าคนที่ไม่ได้บริจาคเลือด
.
การมีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกิน เพิ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
กลไกที่เป็นไปได้ คือ ธาตุเหล็กที่มีมากเกินพอดี ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ (free-radical) มากขึ้น
หลังบริจาคเลือด, ร่างกายจะมีการปรับตัวสำคัญได้แก่
(1). กักเก็บเกลือและน้ำเพิ่มขึ้นทันที ตามด้วยการสร้างโปรตีน เช่น อัลบูมิน (มีมากในไข่ขาว) ฯลฯ เพิ่ม > เพื่อให้ปริมาณน้ำเลือดภายใน 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน
(2). สร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่ม > ภายใน 4-8 สัปดาห์
.
วิธีบริจาคเลือดแบบไม่ให้เพลีย คือ
(1). ดื่มน้ำให้พอเป็นประจำ โดยเฉพาะ 1 วันก่อนบริจาค
(2). ดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ทดแทนที่ใช้รักษาท้องเสีย (ORS) ก่อนและหลังบริจาคเลือด เพื่อให้ปริมาณน้ำเลือดเพิ่มขึ้นได้เร็ว
ถ้าไม่ชอบน้ำผสมผงเกลือแร่ (ORS), จะเพิ่มเกลือในอาหารเล็กน้อย หลังบริจาค 1-2 วันก็ได้
(3). การศึกษาในไทยพบว่า ผู้บริจาคเลือดส่วนหนึ่งมีระดับธาตุเหล็กค่อนข้างต่ำ แต่ยังไม่มีภาวะเลือดจาง
พอบริจาคไปหลายๆ ครั้ง จะมีโอกาสพบเลือดจาง หรือเลือดลอย (ความเข้มข้นต่ำลง) ได้
การกินยาบำรุงเลือด 15 เม็ดในผู้ชาย, 30 เม็ดในผู้หญิง ต่อการบริจาค 1 ครั้ง มีส่วนช่วยป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็กได้
ถ้าไม่ชอบยาบำรุงเลือด, แนะนำให้กินเลือดสุก เช่น เลือดไก่_หมู_เป็ดต้มหรือผัด ฯลฯ ทดแทนได้
.
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ซาน ดีอาโก สหรัฐฯ คำนวณว่า การบริจาคเลือด 1 ไปน์ 1 ไปน์ (imperial pint หรือแบบอังกฤษ = 568 ml./cc.; US pint = 473 ml./cc.) ช่วยให้ร่างกายเบิร์น หรือเผาผลาญกำลังงาน = 650 แคลอรี
อังกฤษ (UK) มีผู้บริจาคเลือด 1.3 ล้านคน บริจาคเลือดรวมกันได้ปีละ 2 ล้านยูนิต (หน่วย)
คนที่พยายามชะลอชรา หรือทำตัวให้แก่ช้าทั่วโลกส่วนหนึ่ง ยอมเสียเงินเป็นแสนๆ บาท เพื่อกินยาขับธาตุเหล็กส่นเกินออกไป แต่ไม่ได้บุญอะไรเลย
ทว่า... ท่านที่บริจาคเลือดเป็นประจำ อย่างน้อย 2 ครั้ง/ปี จะได้บุญ ได้ขับธาตุเหล็กส่วนเกิน ลดเสี่ยงโรคหัวใจ 88%, ลดโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลดเสี่ยงมะเร็ง และเผาผลาญกำลังงานไปอีก 650 แคลอรี
.
ทั้งหมดนี้บอกเราว่า การบริจาคเลือดเป็นประจำดีกับผู้รับด้วย ดีกับตัวท่านเองด้วย และ
อัตราการบริจาคเลือด เป็นดัชนีที่มีความสัมพันธ์กับระดับการพัฒนาประเทศด้วย คือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีคนบริจาคเลือดสูงกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
เรียนมาด้วยความเคารพ และขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกๆ ท่าน... สาธุ สาธุ สาธุ
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ ยินดีให้ท่านนำบทความไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต > CC: BY-NC-SA
ไม่มีความเห็น