-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมออรุณ (URSULA LOEWENTHAL) PUBLIC HEALTHOFFICE IN NONG BUA : HISTORY OF MY
LIFE AND SERVICE,TUE 19 AUG 2008 21:33:45 +0100
สมหมาย ฉัตรทอง : แปลเรียบเรียงเรื่องจากการติดต่อกับหมออรุณ ทาง E mail โดยตรง ที่ประเทศอังกฤษ ได้รับ
Email Addressของคุณหมออรุณ จากคุณอรุณ โลหะเวช ข้อมูลนี้จึงเป็นข้อมูลเบื้องต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชาวไทยโดยเฉพาะชาวหนองบัวรู้จักฉันในชื่อว่า หมออรุณ ฉันมีชื่อจริงว่า Ursula Loewenthal เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2470 คุณพ่อและคุณแม่เป็นยิว เกิด ณ เมือง BRIEG รัฐ SILESIA ในสมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2488 (1945) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์
ครอบครัวฉันหนีสงครามล้างเผ่าพันธ์ของเผด็จการฮิตเลอร์ไปอยู่ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2481 (1938)
ฉันเรียนหนังสือที่ประเทศอังกฤษ เมื่อจบไฮสคูลแล้วเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2488 (1945) ศึกษาภาษาฝรั่งเศสในกรุงลอนดอน ระหว่างศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 1 มีความรู้สึกเรียกร้องให้ฉันเรียนหมอเพื่อจะออกไปทำงานกับมิชชั่นนารี หลังจากนั้นฉันจึงศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ที่วิทยาลัยเทคนิค (TECHNICAL
COLLEGE)
และไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล
จนกระทั่งจบการศึกษาเป็นแพทย์ในเดือนมิถุนายน 2496 (JUNE,1953) ได้รับปริญญา M.B,Ch.B.
ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 (1955) เดินทางจากประเทศอังกฤษในฐานะสมาชิกของสมาคมมิชชันนารีโพ้นทะเล ซึ่งมิชชั่นนารีคณะนี้ มาถึงครั้งแรก ณ สำนักงานใหญ่ ที่ประเทศสิงค์โปร์ หัวหน้ามิชชั่นนารีเป็นผู้ตัดสินใจว่าฉันควรไปประเทศใดและตัดสินให้ฉันมาประเทศไทย
ฉันเริ่มศึกษาภาษาไทยที่นั่น จากนั้นจึงเดินทางมาถึงประเทศไทยในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2499 (APRIL
15 th, 1956) อยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 1 เดือน และอีก 2 เดือนที่จังหวัดอุทัยธานี
ก่อนสอบเพื่อรับใบประกอบโรคศิลปะที่กระทรวงสาธารณสุข สอบได้ใบประกอบโรคศิลปะ ว. 1958 ลงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2499 (AUGUST 1956)
ปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ฉันได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่คลีนิคคริสเตียน
อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง แต่ต้องไปช่วยปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ และคลีนิคคริสเตียนที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีเป็นครั้งคราวด้วย
ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2501 (December 1958) ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2503 (May 1960) ได้ย้ายไปอยู่ภาคใต้ของประเทศลาวเพื่อไปดูแลชนกลุ่มน้อยที่นั่น แล้วเดินทางกลับประเทศอังกฤษ เพื่อรายงานผลต่อศาสนจักร ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2503 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2504 (May 1960 – May 1961)
ในระยะนั้นคอมมิวนิสต์จากประเทศเวียตนามเริ่มรุกรานประเทศลาว ฉันใช้เวลาในกรุงเทพฯ เพื่อขอวีซ่าไปประเทศลาว ดังนั้นจึงใช้เวลาหลายสัปดาห์ช่วยงานแพทย์ที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ ก่อนที่จะกลับไปประเทศลาว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2504 (August 1961) และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2505 (March, 1962) ถูกเรียกตัวกลับมาโรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ ทำหน้าที่ในคณะรักษาพยาบาลในช่วงโรงพยาบาลขาดแคลนแพทย์และตัดสินใจที่จะอยู่ในประเทศไทยตลอดไป
ในห้วงเวลานี้คณะมิชชั่นนารีมีนโยบายที่จะเปิดคลีนิค เพื่อขยายเป็นโรงพยาบาลที่หนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ และได้เปิดคลีนิคอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 (FEBURARY 1963) โดยเช่าห้องแถว 5 ห้องที่สี่แยกริมถนนในตลาดหนองบัว จนกระทั่งสร้างโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว
บนที่ดินที่มีผู้อุทิศให้ 7 ราย แล้วเสร็จ ตั้งอยู่ห่างจากตลาดไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1,500 เมตร จึงได้ย้ายไปดำเนินการในสถานที่ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2511
ในระยะแรกหมอจอห์น ตูป (DR. JOHN TOOP) มีหน้าที่รับผิดชอบ และฉันเป็นผู้ร่วมงานด้วย หลังจากนั้นสองสามสัปดาห์ต่อมาคุณหมอจอห์น ตูป ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลสายบุรี จังหวัดปัตตานี ฉันจึงอยู่รับผิดชอบคนเดียว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2506(JUNE 1963) เป็นต้นมา
พ.ศ. 2508 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2509 (DECEMBER 1965 – DECEMBER 1966) ฉันกลับไปประเทศอังกฤษอีก มีคุณหมอ 2 คน คือ คุณหมอจอห์น และคุณหมอแอนนี่ ทาวน์เซ่น (DR. JOHN AND DR. ANNE TOWNSEND) มาปฏิบัติงานแทนในห้วงเวลานั้น
ปี พ.ศ 2510 (ค.ศ. 1967) มีการก่อสร้างอาคารสถานใหม่ของโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2510 คุณหมอ RACHEL HILLIER มาช่วยปฏิบัติงานในฐานะหมอคนที่สอง และเปิดใช้เป็นโรงพยาบาลใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2511 (FEBRUARY 1968) (ฉันคิดว่าพิธีเปิดน่าจะเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511)
ในปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) หมอฮิลเลอร์และครอบครัวเดินทางกลับอังกฤษ
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2514 (APRIL 1971) ฉันก็กลับประเทศอังกฤษ ต่อมาอีก 1 ปี O.M.F. ส่งหมอสองคนมาปฏิบัติงานต่อ ชื่อคุณหมอ ASHTON และคุณหมอ GURTLER
ฉันครบกำหนดกลับมาเมืองไทยในเดือนเมษายน พ.ศ. 2515 (APRIL 1972) ต้องการที่จะกลับมาหนองบัว แต่ O.M.F. ต้องการให้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลมโนรมย์ฉันจึงปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลมโนรมย์แล้วไปอยู่โรงพยาบาลสายบุรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ระหว่างกรกฎาคม พ.ศ. 2515 (JULY 1972) ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2516 (NOVEMBER 1973)
ต่อมา O.M.F. ตัดสินใจให้ฉันไปปฏิบัติงานที่หนองบัว และส่งคุณหมอ GRAHAM ROBERTS มาเป็นคุณแพทย์ร่วมคนที่ 2ระหว่าง 9-10 ปีต่อมา ฉันเดินทางกลับไปอังกฤษอีกเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่นเป็นเวลา 3 เดือน ในกลางปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ.1976) และในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980)
ประมาณปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) หัวหน้า O.M.F. มองเห็นปัญหาของผู้ปฏิบัติงานโรงพยาบาลซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ลำบากยิ่งขึ้นสำหรับคณะมิชชั่นนารีเกี่ยวกับการตรวจสอบของรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ที่ไม่พอใจเกี่ยวกับการให้พยาบาลต่างชาติมีสิทธิสอบให้สามารถทำงานในประเทศไทย ทางคณะของผู้นำจึงตัดสินปัญหา โดยยกโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวให้รัฐบาลไทย และจัดการให้มีคณะปฏิบัติงานเป็นคนไทยที่โรงพยาบาลมโนรมย์มากขึ้น
โรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว จึงปิดลงในเดือนมิถุนายน พ.ศ 2526 (JUNE 1983) ในโอกาศเดียวกันโรงพยาบาลรัฐประเภท 10 เตียงได้เปิดดำเนินการในบริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ราชการอำเภอหนองบัว ในฐานะที่ทำงานอยู่กับพี่น้องชาวหนองบัวและพี่น้องในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเวลาถึง 20 ปี ฉันเสียใจกับการปิดโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว จึงยื่นใบลาออกจาก O.M.F. เฝ้ารอเวลาอนุมัติใบลา 6 เดือน เมื่อมีผลแล้วฉันก็กลับไปประเทศอังกฤษในเดือนกันยายน พ.ศ. 2526 (SEPTEMBER 1983) ได้ใช้เวลาศึกษาหาความรู้ด้านการศาสนาที่เริ่มต้นไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 (1971) จนจบหลักสูตร
กลับมาประเทศไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)
ฉันได้รับเชิญไปทำงานกับหมอคริสเตียนชาวไทย ซึ่งมีโรงพยาบาลส่วนตัวที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ฉันไม่สนุกกับการทำงานในตัวเมืองเช่นตัวจังหวัด ซึ่งมีโรงพยาบาลรัฐดีๆ แต่เรียกค่ารักษาพยาบาลแพงกว่า จึงลาออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เป้าประสงค์คือต้องการช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้ป่วยผู้ต้องการความช่วยเหลือมากๆ ฉันจึงทำงานที่จังหวัดกาฬสินธุ์เพียง 13 เดือน และมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย (WVFT) ต้องการได้ฉันไปทำงานในโครงการพิเศษกับชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือของประเทศไทย และยังมีความต้องการเช่นนั้นตลอดมา
ดังนั้นในปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ฉันเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ทำงานกับ WVFT ร่วมมือกับองค์กรหลากหลายและโครงการของในหลวง เราให้ความรู้แก่ชาวเขา (TRIBALVILLAGERS) และโดยเฉพาะพวกหัวหน้า เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งอันจะพาไปสู่ปัญหายาเสพติด ในเวลานั้นคือฝิ่น และเฮโรอีน ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยและโครงการในชื่อต่างๆ เรามี 27 แคมพ์ เพื่อให้คำแนะนำการเลิกยาเสพติดในหมู่บ้านต่างๆ เวลาเดียวกันในแต่ละแคมพ์ WVFT จัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่และเครื่องมือให้ รัฐบาลไทยสนับสนุนผู้พยาบาลและหน่วยป้องกันให้ เราทำหน้าที่แบบไม่ใช้เป็นเครื่องชักจูงเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา แต่ปัญหาต่างๆก็เกิดขึ้น เช่น การหละหลวมในระบบความปลอดภัย ติดตามด้วยความขาดแคลนสิ่งต่างๆ ผลลัพธ์จึงไม่เป็นที่พอใจแก่คณะทำงาน
ขณะเดียวกันฉันได้รับเชื้อเชิญร่วมงานกับคณะผู้สอนศาสนาที่จังหวัดพะเยา(PHAYAO BIBLETRAINING CENTER) ชื่อนี้ได้เปลี่ยนเป็น PHAYAO BIBLE COLLEGE ในปีพ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) และเป็น PHAYAO BIBLE SEMINARY 2008 และฉันมีคุณสมบัติทางด้านนี้ที่ได้ศึกษามาเพิ่มเติมเมื่อครั้งปิดโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวแล้วกลับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2526(ค.ศ. 1983)
สุดท้ายได้ตอบรับเชิญกับคณะผู้สอนศาสนาจังหวัดพะเยา ฉันใช้เวลา 1 ปี ที่ยื่นใบลาออกจาก WVFT และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991)ได้ ย้ายไปอยู่จังหวัดพะเยา สำหรับ 17 ปีสุดท้ายแห่งชีวิต ฉันได้สอนนักศึกษาที่นั่น เมื่อพวกเขาจบจากการฝึกอบรมที่นี่จะออกไปเป็นผู้นำโบสถ์ และทำงานให้แก่ศาสนาคริสเตียน
ฉันยังมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการบัญชีและการเงิน และใน 6 ปีสุดท้ายฉันได้รับตำแหน่งอธิการของโรงเรียน
ในเดือนเมษายน พ.ศ 2551(APRIL 2008) ฉันได้เกษียณอายุตนเองในวัย 80 ปี กลับสู่ประเทศอังกฤษ ประเทศที่ฉันอาศัยอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต
สิ่งที่ประทับใจในความทรงจำที่มาอยู่หนองบัว
สิ่งที่ประทับใจฉัน คือ หัวหน้าคณะสำรวจพื้นที่อำเภอต่างๆ สำรวจดูว่าอำเภอใดขาดโรงพยาบาล ทางชาวอำเภอหนองบัว ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเชื้อเชิญให้มาตั้งสถานพยาบาล โดยมีเจ้าของที่ดิน 7 รายรวมกันถวายที่ดินประมาณ39 ไร่ สำหรับสร้างโรงพยาบาลในอนาคต และจัดเตรียมอาคารบริเวณสี่แยกในตลาดเป็นห้องแถวของเฒ่าแก่ย่งเตี๊ยะ แซ่จึง ให้เช่าและใช้เปิดเป็นคลีนิคก่อน โดยทำการดัดแปลงบ้างให้เหมาะกับความต้องการ ขอให้ตั้งหอถังน้ำสูงพร้อมปั๊มน้ำให้สูบน้ำจากสระกลางตลาดคิดว่าเป็นแห่งเดียวที่สูบน้ำเช่นนี้ได้และสถานพยาบาลมีสิทธิ์ขอให้เปิดไฟฟ้าถ้ามีเหตุฉุกเฉินกลางคืน (สมัยนั้นการไฟฟ้าภูมิภาคมีโรงปั่นไฟฟ้าใช้ได้แค่หัวค่ำและเช้ามืด)
อนึ่งคุณหมอถนิม ผดุงครรภ์อนามัยซึ่งเป็นขวัญใจชาวหนองบัวให้ความร่วมมืออย่างดีโดยตลอด
ปีแรกใน พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) ทางคมนาคมลำบากมากจำได้ว่าอาจารย์ประจำอำเภอชุมแสง นำยาและอุปกรณ์มาให้ที่อำเภอหนองบัว จากสถานีรถไฟในเดือนสิงหาคม ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวัน อาศัยรถจี๊ป 2 ตอน เรือ 2 ตอน และเกวียนบ้าง แม้ในฤดูร้อนรถจี๊ปซึ่งเป็นรถโดยสารปกติต้องลงจากถนนขับไปตามริมนาเป็นบางแห่ง
ส่วนอุปกรณ์ทางแพทย์เตรียมไว้แต่แรกนอกจากx-rayปีแรกใช้อันเล็ก (คือ 12 MILLIAMP เท่านั้น) แล้วไม่ได้มาจนเดือนธันวาคม พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) ได้มาพอดี หลังจาการผ่าตัดกระโหลกหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ถูกปืน ขณะ x-ray ได้พบว่ามีเม็ดกระสุนเหลือบ้างก็สามารถเอาออกได้อีก ปีแรกนั้นไม่มีเตียงแบบโรงพยาบาล มีแต่แบบธรรมดา จึงจำเป็นต้องประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ขณะรับชายถูกปืนซึ่งกระดูกขาบนหักเกือบ 2 วันก่อน
การไม่เข้าใจการรักษาพยาบาลที่ทันสมัยขึ้น จำได้ว่าญาติของคนถูกปืนนั้นถามว่า “ต้องดึงขาเช่นนั้นนานเท่าไร” และไม่ค่อยยอมรับคำอธิบายว่า “อย่างน้อย 3 เดือน” แท้จริงชาวบ้าน (รวมข้าราชการคนหนึ่งซึ่งลูกสาวแขนหัก)ไม่เข้าใจการเข้าเฝือกให้กระดูกมีโอกาสติดกัน
จำได้ว่ามีชายคนหนึ่งมีฝีผิวหนังตรงข้อมือ น่าจะเจาะให้หนองออก แต่เขาไม่ยอม และไม่ยอมฉีดยารักษาด้วย (คิดว่าเป็นญาติกำนันเสียด้วย) สาเหตุคือ พวกเขากลัวว่าเป็น “ฝีมะลำมะลอก” (คงหมายถึง ANTHRAX) เขาคิดว่าถ้าฉีดยาแล้วจะตายแน่ คิดเช่นนั้นเพราะในอดีตอาจมีคนถูกฉีดยารักษากับหมอบ้านนอกแล้วแพ้ยาเพนนิซิลินตาย แท้จริงยานี้ตรงกับโรคเพียงต้องพร้อมจัดการถ้าแพ้ยา สุดท้ายยายคนแก่ๆชักชวนให้คนนั้นยอมรับการรักษา
ซึ่งฝีนั้นเป็นฝีธรรมดา
ทางคมนาคมลำบากมาก จำเป็นต้องผ่าตัดใน 5 ปีแรกนั้น ไม่มีห้องผ่าตัดเฉพาะ จึงจำเป็นทำในห้องฉีดยา เพราะจะส่งคนไข้ต่อไปไม่ได้ เช่น ภรรยาข้าราชการตั้งครรภ์นอกมดลูก โลหิตออกในช่องท้อง เด็กหญิงใกล้ตลาดอายุประมาณ 12 ปี เป็นไทฟอยด์ และรักษากับคนซึ่งไม่ใช่แพทย์จริง 2 อาทิตย์กว่า ญาติพามาหาเพราะโลหิตออกในลำใส้ วันต่อมาแผลลำใส้ทะลุจึงต้องผ่าฤดูฝนมีชาวบ้านนำหญิงป่วยมา ซึ่งอาการแสดงว่าต้องผ่ารังไข่อย่างด่วน โดยเอาคนป่วยห่อแหเป็นเปลหามมา มีคนเอาทารกมา (คิดว่ามาจากห้วยร่วม) ทารกหนัก 2.1กิโลกรัม พวกเขาใส่กระบุงหาบมาเพราะมันไม่มีรูทวารหนัก
---------------------------------------------------------------------------
หวังว่านี่พอเป็นคำตอบ กำลังมีปัญหากับคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ไม้เอกทับตัวสระบางตัว มันออกเป็นจุดดำๆ
ด้วยความยินดีจากอังกฤษ
USULA LOEWENTHAL
MONDAY,SEPTEMBER 08, 2008 5:27:49 P.M.
หมายเหตุ เฉพาะ เรื่องสิ่งที่ประทับใจที่มาอยู่หนองบัว
เนื่องจากข้อมูลรายละเอียดไม่สมบูรณ์ตรงใจผู้เขียน จึง E mail สอบถามไปหมออรุณตอบมาเป็น ภาษาอังกฤษผู้เขียนจึงแปลตามภูมิรู้ที่มีเอาเพียงเท่าที่อ่านกันเข้าใจดังข้างต้นนี้ เรื่องนี้ติดต่อกันเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551
หมออรุณในมุมมองของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านายเนียม แก้วปรีชา เกิดเมื่อเดือนเมษายน 2484 ที่บ้านจิกยาว ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอชุมแสง (อำเภอหนองบัวในปัจจุบัน) จังหวัดนครสวรรค์ บิดาชื่อนายไล้ มารดาชื่อนางดอกไม้ จบการศึกษาระดับมัธยมปีที่ 6 (ในระบบการศึกษาสมัยนั้น) จากโรงเรียนราษฎร์ชื่อโรงเรียนชุมแสงวิทยา อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วไม่ได้ศึกษาต่อ ช่วยเหลือกำนันสวัสดิ์ รอดพล กำนันตำบลห้วยใหญ่ขายกาแฟ ต่อมาน้าชายให้ไปช่วยคุมรถลากไม้ซุงจากป่าหนองบัวไปเข้าโรงเลื่อย และต่อมาทำหน้าที่ขับรถด้วย
เมื่อโรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ และ O.M.F แห่งประเทศไทย มีโครงการเปิดโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว จึงชักชวนนายวัขระ อินจันทร์สุขไปสมัครงาน ได้รับการคัดเลือกไปฝึกงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ เมื่อโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวเปิดดำเนินการครั้งแรก ณ ห้องแถว 5 ห้อง ของนายย่งเตี๊ยะ แซ่จึง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2506 จึงเริ่มทำงานที่โรงพยาบาลนี้เป็นครั้งแรกในเวลา 4 ปีเศษ ไม่ทันได้อยู่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว ที่ก่อสร้างเป็นอาคารถาวรและเปิดดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ 2511 เนื่องจากลาออกไปประกอบอาชีพเดินรถร่วมกับบริษัท ไทยพัฒนกิจ จำกัด วิ่งรับส่งคนโดยสารเส้นทาง เชียงใหม่ – ลำปาง เชียงราย – แม่สาย
ในห้วงปฏิบัติงาน ที่โรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว ณ สถานที่ชั่วคราว 4 ปีเศษ ได้ทำงานในงานเอ็กซ์เรย์ งานธุรการ และช่วยงานในห้องผ่าตัดในบางโอกาส มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับคุณหมออรุณจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อฟื้นความหลังความดีงานในอดีตของคุณหมออรุณ ที่อุทิศตนทั้งกายและใจรับใช้พระเจ้า ตามคำสอนของพระศาสดาพร้อมกับปฏิบัติงานรับใช้ชาวหนองบัวและประชาชนจังหวัดใกล้เคียงโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากมาเกือบ
20 ปี เมื่อพ้นหน้าที่การรักษาพยาบาลแล้วยังได้อุทิศตนนำคำสอนของพระศาสดาชี้นำให้คนไทยปฏิบัติตนเป็นคนดีของประเทศไทยส่วนหนึ่ง ดังนี้
บุคลิกลักษณะหมออรุณเป็นคนรูปร่างใหญ่ ล่ำ เดินเร็ว ทำงานไว เวลากดกริ่งเรียกให้มาตรวจคนไข้ คุณหมอจะวิ่งลงบันไดทุกครั้ง หมอเป็นคนมีอัธยาศัยดีต่อคนทุกชั้น จะให้คำแนะนำกับผู้ร่วมงานตลอดจนญาติคนไข้
เมื่อท่านตรวจคนไข้เสร็จท่านจะขึ้นไปอ่านหนังสือทำงานอย่างอื่น หมอเป็นคนรอบรู้ทุกด้าน ส่วนอุปนิสัยเป็นคนมีใจโอบอ้อมอารีเป็นคนไม่ถือตัวเพื่อนร่วมงานจะรักท่านมาก ท่านจะให้คำแนะนำกับผู้ช่วยพยาบาลเสมอท่านไม่หวงความรู้ เวลามีคนไข้มาตรวจหมอจะให้คำแนะนำกินยาและปฏิบัติตัว หากคนไข้เป็นโรคร้ายแรงหมอจะไม่บอกคนไข้แต่จะบอกกับญาติเท่านั้น คุณหมอจะรักชีวิตคนไข้เหมือนกับชีวิตของท่านเองหากเวลาผ่าตัดเมื่อผู้ช่วยพยาบาลส่งเครื่องมือผิดท่านจะแสดงอาการไม่พอใจ ผมเคยถามท่านว่าทำไมคุณหมอจึงดุจัง ท่านบอกว่าชีวิตคนไข้มีความสำคัญถ้าทำงานช้าไป 4 –5 นาทีคนไข้อาจจะเสียชีวิตได้ คำพูดนี้ก้องหูผมตลอดเวลา หากหมอทุกคนมีความรับผิดชอบเหมือนกับคุณหมออรุณคนไข้จะมีชีวิตรอดมากขึ้น หมอเก่งทุกด้านไม่ว่าจะวิเคราะห์โรคหรือผ่าตัดท่านจะเก่งกว่าหมอทุกคนที่มาประจำสถานพยาบาล ผมเคยสังเกตเวลาหมอผ่าตัดเอาเด็กออกหมอคนอื่นจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่หมออรุณจะใช้เวลา 30 นาทีเท่านั้น เวลาท่านเย็บแผลผูกไหมหมอจะเย็บเร็วกว่าหมอทุก ๆ คน ผมเคยพูดกับญาติพี่น้องว่า หากผมเป็นอะไรถ้าคุณหมออรุณรักษา แม้ผมจะตายผมบอกกับญาติไม่ต้องเสียใจ ความจริงหน้าที่ของผมคือทำหน้าที่เสมียน ตอนผมไปฝึกงานที่โรงพยาบาลมโนรมย์เขาส่งไปสองคน คือคุณวัชระ อินจันทร์สุข เข้าไปฝึกห้องจ่ายยา ส่วนผมฝึกเสมียนและห้องแลบ พอกลับมาทำงานที่สถานพยาบาลคุณหมออรุณสอน X-ray ให้ ดังนั้นผมเลยกลายเป็นคนจับฉ่ายในสถานพยาบาล ผมทำงานอยู่สี่ปีกว่า จึงลาออกมีคนไข้เป็นหนี้ทางสถานพยาบาลประมาณสามหมื่นกว่าบาทและส่วนที่ลดให้คนไข้และฟรีประมาณสี่หมื่นกว่าบาทสมัยนั้นดูจะเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว ดังนั้นผมจึงมีโอกาสรู้จักผู้ใหญ่บ้านกำนันแทบทุกตำบล เพราะผมจะให้เขารับรองว่าคนไข้คนนั้นยากจนจริงหรือไม่หากกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านรับรองมาผมจะลดหรือฟรีทั้งหมด บางทีวันหยุดท่านนายอำเภออรุณจะพาคุณหมอไปตรวจคนไข้นอกสถานที่ตามตำบลต่างๆเสมอ
ท่านจึงเป็นที่รักและขวัญใจของคนหนองบัวและชาวจังหวัดใกล้เคียงที่เจ็บไข้ได้ป่วยในยุคนั้นอย่างแท้จริง ขอจบเพียงเท่านี้
ผมขอดึงภาพมาประกอบเรื่องมาเสริมให้นะครับ เป็นภาพวาดแสดงที่ตั้งโรงพยาบาลคริสเตียนที่ปรากฏในบันทึกของคุณหมออรุณและท่านรอง ผวจ.สมหมาย ฉัตรทองน่ะครับ ดีใจครับที่ท่านรอง ผวจ.สมหมายมาร่วมบันทึกและเผยแพร่ข้อมูลของหนองบัวอีกหลายมิติ ซึ่งหลายเรื่องท่านและคนหนองบัวที่ร่วมกับท่าน เป็นคนต้นเรื่อง สักระยะหนึ่ง ก็จะสามารถช่วยกันค่อยๆนำข้อมูลกลับมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนำเสนอ ขยายความรู้มิติใหม่ของหนองบัว ให้ดียิ่งๆขึ้น เชื่อว่าจะเป็นฐานความคิดและเป็นฐานข้อมูล ให้คนคิดริเริ่มทำสิ่งต่างๆกันได้อีกหลายอย่าง
ได้ทราบว่าท่านรองผวจ.สมหมาย ฉัตรทอง ได้ใช้ความพยายามอุตสาหะอย่างมาก เพื่อที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับหมออรุณ ทราบว่าได้อาศัยอินเตอร์เน็ทในการหาข้อมูลพร้อมทั้งติดต่อคนหนองบัวที่ใกล้ชิดหมออรุณ อีกทางหนึ่งด้วย จนในที่สุดก็ติดต่อได้ และก็ได้มาซึ่งบทความจากหมออรุณ อำเภอหนองบัวถ้าไม่มีการระบุถึงหมออรุณ ก็จะทำให้ความเป็นหนองบัวพร่องไปอย่างแน่นอน เพราะหมออรุณเป็นผู้มีบทบาทด้านสาธารณะสุขของหนองบัวอย่างสำคัญยิ่ง ก่อนที่จะมีโรงพยาบาลรัฐดังปัจจุบัน
ดังนั้น เลยต้องขอชื่นชมอย่างจริงใจต่อท่านสมหมาย ที่สามารถรวบรวมข้อมูลชุดนี้มาให้คนหนองบัวได้ศึกษาเรียนรู้่ คุณูปการนี้ จะอยู่ในความทรงจำของคนหนองบัวสืบไป