วันที่ ๕ มี.ค. ๕๖ อาจารย์แหวว (พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร) ยกทีมไปคุยกับผม และคุณเปาที่มูลนิธิสยามกัมมาจลเพื่อAAR ชีวิต และเตรียมตัวสู่ชีวิตผู้อาวุโส
ท่านพยายามถามว่า ผมเตรียมชีวิตส่วนของตัวเองอย่างไรเมื่อใกล้เกษียณ ผมตอบไม่ได้เพราะไม่เคยวางแผนชีวิตของตนเองเลยว่าจะเป็นอะไร ทำอะไร ยกเว้นเมื่ออายุราวๆ ๓๐ วางเส้นทางชีวิตที่จะไม่เปิดคลินิกหารายได้ เพื่อทุ่มเทชีวิตให้แก่งานวิชาการ
จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังทำงานวิชาการตามเส้นทางนั้น
ผมแนะนำท่านว่า ทีมนักกฎหมายเพื่อคนจนของอาจารย์แหวว ได้สั่งสมความรู้ และประสบการณ์จากการทำงานไว้มากมาย น่าจะได้แปลงความรู้นั้นเป็นความรู้เชิงทฤษฎี ยกระดับความรู้ขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งจะเป็นการสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม (และแก่โลก)ในระยะยาว คือได้สร้างความรู้เชิงทฤษฎีทางกฎหมายว่าด้วยชีวิตของผู้คนชายขอบของรัฐ หรือชีวิตของผู้ยากไร้ ยาวกว่าการทำงานช่วยเหลือคนจนเป็นรายๆ
ในวันนั้นเราไม่ได้คุยลงลึกไปสู่วิธีปฏิบัติ ผมจึงกลับมาทำการบ้านส่งอาจารย์แหววเสนอแนะวิธีปฏิบัติที่ไม่ทราบว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่ ในบริบทของเครือข่ายอาจารย์แหวว
เริ่มต้นโดยทีมช่วยกันlist รายชื่อวารสารวิชาการทางกฎหมาย (และสาขาใกล้เคียง) ที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัยทางกฎหมาย เน้นที่กฎหมายเพื่อความเป็นธรรมในสังคมที่คำนึงถึงกลุ่มคนด้อยโอกาส
แล้วตกลงกันว่า ใครจะติดตามวารสารเล่มไหนนำมาเขียนลงบล็อกสัปดาห์ละ(อย่างน้อย) ๑ บันทึก โดยแต่ละบันทึกเป็นการAAR รายงานผลการวิจัย ๑ เรื่อง ว่ามันเกี่ยวข้องกับงานที่เครือข่ายอาจารย์แหววกำลังทำกันอยู่อย่างไร มีข้อตกลงด้วยว่าทุกคนในเครือข่ายต้องเข้าไปอ่านบันทึกของสมาชิกเครือข่าย และต้องเขียนบันทึก AAR ประจำสัปดาห์ คนละ ๑ บันทึกว่า ตนเกิดแนวความคิดตั้งโจทย์วิจัยอะไรบ้าง จากงานที่เครือข่ายอาจารย์แหววกำลังทำ
ถ้าเขียนลงบล็อกมันประเจิดประเจ้อเกินไป สมาชิกเครือข่ายอยากให้อยู่เฉพาะในวงในของเครือข่าย จะใช้ GoogleGroup ก็ได้
ขอเสนอโจทย์AAR รายงานผลการวิจัยที่อ่านจากวารสารดังนี้ (๑)โจทย์วิจัยคืออะไร (๒) ใช้วิธีตอบโจทย์อย่างไร (๓) ข้อมูลที่ใช้ได้มาอย่างไร (๔) เขาใช้ทฤษฎีอะไรบ้างในการตั้งโจทย์ในการวิเคราะห์ข้อมูลและในการสรุปผล (๕) สรุปผลน่าเชื่อถือหรือไม่มีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง (๖) ข้อสรุปนี้ใช้ได้กับบริบทสังคมไทยที่เครือข่ายฯกำลังทำงานอยู่หรือไม่ (๗) เราเห็นลู่ทางทำวิจัยจากข้อมูลของเราเพื่อต่อยอด (หรือโต้แย้ง) ความรู้ในรายงานผลการวิจัยนี้อย่างไรบ้าง
สมาชิกของเครือข่ายฯต้องตกลงกันว่า ต่อไปนี้จะจัดเวลาร้อยละ ๒๐ (๓๐?) ให้แก่กิจกรรม“วิชาการขาขึ้น” คือขาสร้างความรู้เชิงทฤษฎีโดยยังคงมีเวลาร้อยละ ๗๐ - ๘๐ ทำงาน“วิชาการขาลง ”คือขาใช้ความรู้เอาไปแก้ปัญหา
อีกวิธีหนึ่งที่ควรนำมาใช้คือ หาสมาชิกเครือข่ายที่ไม่ใช่นักกฎหมาย เช่น นักมานุษยวิทยา นักสังคมวิทยา ชวนมาทำงานวิชาการ review วารสารร่วมกัน
ทุกๆ ๒- ๓เดือน สมาชิกของเครือข่าย ควรนัดกันมาพบหน้าเพื่อหารือกันว่าได้โจทย์วิจัยอะไรบ้าง สำหรับสร้างความรู้ใหม่ที่จะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ โดยทำวิจัยจากข้อมูล และกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่เครือข่ายได้ทำไปแล้ว และกำลังทำอยู่ และวางแผนร่วมกันว่าใครจะเป็นแม่ (พ่อ) งาน คนนี้จะเป็น principal investigator ในการตีพิมพ์ผลงาน ใครร่วมมือบ้างก็จะได้เป็น co-investigator โดยมีข้อตกลงชัดเจนว่าใครทำอะไร
จะให้ดีตั้งชื่อผลงานวิจัยที่จะตีพิมพ์ไว้ล่วงหน้า (แก้ไขปรับปรุงได้) เล็งไว้เลยว่าจะส่งไปตีพิมพ์ในวารสารใด แล้วเริ่มเขียน(ร่าง)บทนำข้อมูล และวิธีการและบทสรุปไว้ล่วงหน้า เอามานำเสนอตอนประชุมพบหน้ากันให้สมาชิกช่วยแนะนำ
อาจารย์แหววครับ อาจารย์ลืมให้การบ้านผม แต่ผมก็ตั้งโจทย์เองส่งการบ้านให้แล้วนะครับ
วิจารณ์ พานิช
๗ มี.ค.๕๖
ไม่มีความเห็น