คุณภาพในโรงเรียนขนาดเล็ก พัฒนาได้จริงหรือ?
แนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีของโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ(โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน) จากเมื่อปีการศึกษา2552 จำนวน 14,056 โรงเรียน หรือร้อยละ 44.30 เพิ่มขึ้นในปีการศึกษา 2555(ข้อมูล10 มิถุนายน 2555) จำนวน 14,638 โรงเรียน หรือร้อยละ 46.83 นับเป็นปัญหาที่ท้าทายมานานนับทศวรรษในการแก้ปัญหาการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เป็นที่รู้กันว่า ปรากฏการณ์การเพิ่มจำนวนขึ้นของโรงเรียนขนาดเล็กเป็นผลพวงมาจากอัตราการเกิดของประชากรลดลงปีละประมาณ 200,000 คน และความเจริญทางวัตถุที่กระจายลงสู่สังคมชนบททำให้ผู้ปกครองนักเรียนมีทางเลือกมากขึ้น ในการส่งบุตรหลานไปเรียนในโรงเรียนที่ตนเองมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาหรืออีกนัยหนึ่งผู้ปกครองไม่เชื่อมั่นในมาตรฐานการจัดการศึกษาที่ครูไม่ครบชั้นหรือครูครบชั้นแต่ไม่สะท้อนคุณภาพ ประสิทธิภาพ นั่นเอง และเหตุที่ครูไม่ครบชั้นก็เพราะรัฐต้องจัดสรรอัตรากำลังของครูตามสัดส่วนจำนวนนักเรียนพูดง่ายๆก็คือ รัฐต้องการจ่ายเงินเดือนค่าตอบแทนครู 1 คนต่อนักเรียน 25 คน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณและการจัดการศึกษาจะต้องบ่งชี้หรือสะท้อนให้เห็นคุณภาพ ประสิทธิภาพมาตรฐานที่ยอมรับได้
ปัจจุบันโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ตามชนบททั่วประเทศตกอยู่ในสภาพที่ครูไม่ครบชั้น ไม่น้อยกว่า 7300 โรง และไม่มีวันที่ครูจะครบชั้นหากสัดส่วนนักเรียนยังอยู่ในสัดส่วน1 :12.46 (ระดับประเทศ 1: 19) เช่นทุกวันนี้ ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ(คปร.) ความอึดอัดที่เกิดขึ้นกับครูในโรงเรียนขนาดเล็กเมื่อถูกประเมินว่าจัดการศึกษาไม่สามารถสะท้อนคุณภาพและประสิทธิภาพได้เพียงพอ กล่าวคือเกิดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่ามีข้อจำกัดด้านการใช้ครูหรือไม่สามารถจัดครูได้ครบชั้นขาดแคลนสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาลดลงอย่างต่อเนื่อง(ซึ่งจริงๆ โรงเรียนขนาดกลาง และขนาดใหญ่ก็มีคะแนนเฉลี่ยจากการประเมินระดับชาติลดลงในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน)ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลกำกับนโยบาย ได้มีการทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กดำเนินการวิจัย วางแผนกลยุทธ์การพัฒนา วางมาตรการสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับสถานศึกษา เช่น กำหนดนโยบายควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กให้เกิดขนาดที่เหมาะสม สามารถจัดสรรอัตรากำลังครูงบประมาณสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างเต็มที่ ส่งเสริมโรงเรียนดีประจำตำบลให้เป็นโรงเรียนหลักของการมาเรียนรวมสร้างเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนขนาดเล็กคุณภาพเพื่อจัดการศึกษาแบบศูนย์การเรียน พยายามดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นส่งเสริมพัฒนาการเรียนการสอนแบบคละชั้นในโรงเรียนที่ครูไม่ครบชั้น สนับสนุนงบประมาณจัดหาสื่อเทคโนโลยีห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ ปรับปรุงภูมิทัศน์ พร้อมกันนี้ยังมีความพยายามดำเนินการควบรวมโรงเรียนแบบขั้นบันได โดยเริ่มควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า20 คน น้อยกว่า 40 คน จนถึงโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน ในปีการศึกษา2561 และโรงเรียนที่ควรยุบพึงยุบ จนถึงการกำหนดมาตรการไม่บรรจุตำแหน่งผู้บริหารในโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า60 คน ซึ่งเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมให้เขตพื้นที่การศึกษาเร่งดำเนินการควบรวมยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดระบบการบริหารคุณภาพ ประสิทธิภาพประหยัดงบประมาณของรัฐ เมื่อวันที่26 พฤษภาคม 2555 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำเสนอรูปแบบการแก้ปัญหาการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กเผยแพร่ทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (video conference)ในการประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวมีลักษณะหมุนเวียนนักเรียนจากโรงเรียนในเครือข่ายมาเรียนรวมในชั้นเดียวกันตามศักยภาพของโรงเรียน เช่น โรงเรียน ก เปิดสอนระดับชั้น ป.1-2 โรงเรียน ขเปิดสอนชั้น ป.3-4 โรงเรียน ค เปิดสอนชั้นป.5-6 วิธีการดังกล่าวสามารถรวมนักเรียนแต่ละชั้นได้ ครูสามารถสอนได้ตรงตามสาขาที่ถนัด ตรงระดับชั้นไม่ต้องสอนควบชั้น นับเป็นแก้ปัญหาการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กในลักษณะภาคีเครือข่ายที่ดีใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า ซึ่งหลายเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้มีการดำเนินการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กในลักษณะเดียวกันนี้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา เรื่องนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความเห็นชอบและเตรียมขยายผลทั่วประเทศ พร้อมรับไปพิจารณาเตรียมการสนับสนุนด้านงบประมาณ สำหรับจัดหารถตู้บริการรับส่งนักเรียนเดินทางไปเรียนโรงเรียนเครือข่ายละ 1 คัน เนื่องจากการหมุนเวียนนักเรียนไปเรียนในโรงเรียนเครือข่ายที่ผู้ปกครองยอมรับได้ก็คือมีพาหนะที่ดี ปลอดภัยสำหรับบุตรหลานเดินทางไปโรงเรียน
อย่างไรก็ตามแม้ส่วนกลางจะพยายามจัดระบบและควบคุมมาตรฐานการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กแต่ดูเหมือนว่าในทางปฏิบัติระดับเขตพื้นที่การศึกษากลับมีโจทย์ที่ต้องหาคำตอบหลายข้อถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลังการควบรวมและผู้รับผิดชอบผลกระทบนั้น เรื่องนี้น่าจะมีการวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบศึกษาแนวทางที่เป็นไปได้ แต่ดูเหมือนจะมีผู้วิจัยในเรื่องนี้น้อยมาก เมื่อทางกระทรวงศึกษาธิการทำท่าเอาจริงกับการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กก็มีการเคลื่อนไหวจากองค์กรเอกชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ สภาการศึกษาทางเลือก ได้ยื่นคัดค้านการควบรวมหรือการยุบโรงเรียนขนาดเล็กด้วยเหตุผลว่ามาตรการควบรวมไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ควรมีการวิเคราะห์ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างรอบด้านและรับฟังเสียงสะท้อนจากท้องถิ่นด้วย พร้อมกับมีเสียงขานรับจากหลายฝ่ายว่าการดำเนินการแก้ปัญหาและพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กสามารถทำได้หลายรูปแบบ ตามบริบทของเขตพื้นที่และควรเริ่มต้นที่เขตพื้นที่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันทั้งประเทศ เพราะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีปัจจัยทางสังคมศาสตร์และภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันการทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีการเรียนการสอนที่มีคุณภาพเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ที่จริงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ก็มีการสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบคละชั้นเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนขนาดเล็กสนับสนุนเทคนิคกระบวนการนิเทศติดตาม สนับสนุนสื่อการเรียนรู้ชุดการอ่านมีการวิจัยการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้แบบคละชั้นสร้างเครือข่ายการพัฒนาคุณภาพในโรงเรียนขนาดเล็ก ขยายผลไปได้ทั่วประเทศ แต่โรงเรียนส่วนใหญ่ยังมีท่าทีต้องการครูครบชั้นต้องการสื่อการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน หรืองบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม ทั้งที่ทราบดีว่าสิ่งเหล่านี้คือข้อจำกัดของการบริหารจัดการให้เกิดคุณภาพในโรงเรียนขนาดเล็ก
การพัฒนาในภาวการณ์ที่มีครูไม่สมดุลกับจำนวนนักเรียนหรือมีครูไม่ครบชั้น มีงบประมาณสนับสนุนจากรายหัวนักเรียนน้อย ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่นในมาตรฐานการจัดการศึกษาแถมมีเงื่อนไขการพัฒนาว่า “โรงเรียนขนาดเล็กจักดำรงอยู่อย่างมีคุณภาพโดยไม่ดูดซับทรัพยากร” เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stake holder)ในระดับปฏิบัติการ ต้องยอมรับสภาพ ด้วยเหตุผลหลักคือความคุ้มค่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กด้วยกลยุทธ์เทคนิคกระบวนการที่เหมาะสมสอดคล้องและบริบทอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยไม่ถือว่าข้อจำกัดเป็นปัญหา ผู้ปฏิบัติต้อง“ใส่ใจ” มุ่งมั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยความอดทน เสียสละเพื่อให้การศึกษาที่ดีกับเด็กโดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนขนาดเล็กนั้นเต็มไปด้วยเด็กด้อยโอกาสเด็กจากครอบครัวที่ยากจนขาดความอบอุ่นเด็กที่มีปัญหาส่วนตัวและปัญหาในชีวิตความเป็นอยู่สารพัด ซึ่งถึงจะเป็นเด็กในวัยเรียนร้อยละ13 ของประเทศ แต่ก็เป็นเด็กในโรงเรียนเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46.83) ของประเทศ
กรณีศึกษา โรงเรียนขนาดเล็กในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ
เขต 3
โรงเรียนบ้านวังพง
อำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ
เดิมทีเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีสภาพเกือบไร้ร้างเป็นโรงเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของสพฐ. ที่เรียกว่า โรงเรียนไอซียู ( ICU : I see you)มีนักเรียนเหลืออยู่ 29 คน กับครูคนเดียว ด้วยความสำนึกที่ต้องการให้มีการศึกษาที่ดีกับเด็กๆที่นี่ ทำให้ผู้บริหารโรงเรียน (นายบรรพต ทองเกิด) ที่เดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ เมื่อปีการศึกษา 2548ต้องวางแผนแก้ปัญหา ฟื้นฟู ด้วยรูปแบบการบริหารจัดการเชิงวิชาการ และปฏิบัติอย่าง”ใส่ใจ”เดิมพันด้วยคุณภาพและมาตรฐาน เริ่มด้วยการแก้ปัญหานักเรียนรายบุคคล จัดระบบการเรียนการสอนปรับปรุงภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม เข้าถึงชุมชน สร้างภาวะผู้นำในโรงเรียนและในชุมชนด้วยการนำแนวคิดใหม่ๆ แนวปฏิบัติ เทคโนโลยีสู่การจัดการเรียนการสอนอย่างอดทน เสียสละ สร้างรูปแบบการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาครูไม่ครบชั้นและยกระดับคุณภาพด้วยการบูรณาการสอนคละชั้นที่เรียกว่า วังพงโมเดล (WUNGPONG Model)ปรับกระบวนทัศน์ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นได้ทดลองใช้ และปรับรูปแบบกระบวนการ จนเป็นระบบครูผู้สอนที่มีอยู่ 3 คน สามารถสอนคละชั้นในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2, 3-4 และ5-6 ปรับกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตรได้ครอบคลุมตัวชี้วัดมาตรฐานการเรียนรู้ พร้อมกันนั้นผู้บริหารได้จัดหาอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ ห้องสมุด เทคโนโลยี สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ของครูอย่างพอเพียงโดยไม่ต้องใช้งบประมาณทางราชการ ผลการดำเนินงาน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการประเมินระดับชาติ(O NET และ NT)สูงขึ้นตามลำดับ สามารถประเมินผ่านการประเมินภายนอกรอบสองระดับดีเยี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการนางจุไรรัตน์ แสงบุญนำ) และคณะที่เคยเดินทางเข้าไปเยี่ยมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ได้กล่าวว่า โรงเรียนมีสื่อการเรียนรู้มีอุปกรณ์การศึกษาเกินพอสำหรับนักเรียนที่นี่ และเสนอแนะว่าหากจะให้คุ้มค่าก็สามารถใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ในท้องถิ่นได้ดังนั้นแม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในถิ่นกันดารก็มีคณะศึกษาดูงานจากต่างจังหวัด เดินทางเข้าไปศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังได้รับการสานต่ออย่าง“ใส่ใจ” จากผู้บริหารคนปัจจุบัน (นายสุนทร
ตับกลาง)
โรงเรียนบ้านหนองดินดำ อำเภอเนินสง่า จังหวัดชัยภูมิ
ภายหลังที่อาคารเรียนหลังเก่าถูกไฟไหม้ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2550 สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือนักเรียน48 คน ครู 2 คนกับลานดินว่างเปล่า เด็กๆ ต้องเรียนกันในเพิงชั่วคราวกันเป็นปีกว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ (แบบ สปช 101/26) การพัฒนาเริ่มขึ้นพร้อมกับอาคารหลังใหม่ด้วยกลยุทธ์การบริหารจัดการ 4 ขั้น ได้แก่ 1) สร้างศรัทธา ให้ทุกร่วมมือ“ใส่ใจ” ให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กให้ดี เป็นที่วางใจของผู้ปกครองนักเรียนทุกคนแต่งกายสะอาดด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่โรงเรียนตัดให้ด้วยทุนสำรองส่วนตัวของผู้บริหารโรงเรียน(นายสมชาย ขอสินกลาง) 2) กล้าเปลี่ยนแปลง โดยสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการทำงานครูทุกคนต้องปรับตัว ทำงานหนัก ให้เห็นผลเชิงประจักษ์กับเด็ก 3) แสดงความแตกต่าง ทุกคนจะต้องร่วมมือกันสร้างสรรค์งานให้ปรากฏผลต่างไปจากโรงเรียนอื่น 4) สร้างสื่อเทคโนโลยี ด้วยสื่อเทคโนโลยีเป็นจุดแข็งของโรงเรียนผู้บริหารและคณะครูทุกมีความชำนาญในการใช้คอมพิวเตอร์นักเรียนควรเรียนรู้ด้วยสื่อเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆมีโอกาสที่จะได้สัมผัสสื่อใหม่ๆ เท่ากับโรงเรียนในเมืองพร้อมกันนั้นผู้บริหารโรงเรียนซึ่งมีความสามารถเฉพาะตัวในด้านการออกแบบการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็ได้ “ใส่ใจ” อุทิศเวลาวันหยุด จัดหาทุนปรับสภาพแวดล้อม ภูมิทัศน์ ให้โรงเรียนน่าอยู่ น่าดู น่าเรียน สะอาด ร่มรื่น เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองนักเรียนเข้ามาเยี่ยมนักเรียนถึงห้องเรียนเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนักเรียน เช่น นักเรียนแต่งกายสะอาดานคล่องเขียนคล่อง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นทุกคน นักเรียนทุกคนสามารถใช้คอมพิวเตอร์พกพา (tablet)ได้อย่างคล่องแคล่ว ผู้ปกครองได้เห็นความ”ใส่ใจ”ของครูต่อบุตรหลาน ได้เห็นความ “ใส่ใจ” ของผู้บริหารต่อการแก้ปัญหา พัฒนาโรงเรียน สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความศรัทธา ความภาคภูมิใจของผู้ปกครองมีความเต็มใจให้การสนับสนุนร่วมมือด้วยความรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นสถาบันหลักของชุมชนเมื่อเกิดผลกับนักเรียนจริง ความช่วยเหลือก็ถูกหยิบยื่นจากภาคเอกชน หน่วยงาน องค์กรภายนอก ในรูปของเงินทุน วัสดุ อุปกรณ์การศึกษา สภาพโรงเรียนตอนนี้แตกต่างจากสภาพเมื่อ5 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ครูทำงานหนักแต่มีความสุข นักเรียนทุกคนอ่านคล่อง เขียนคล่องคิดเลขเป็น ชุดนักเรียนสะอาดสะอ้าน รับแขกที่มาเยือนอย่างคล่องแคล่วนิ่มนวล ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการทดสอบระดับชาติ(O NETและ NT ) มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ เป็นโรงเรียนติดอันดับ 1 ใน 10 ที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงของเขตพื้นที่ปัจจุบันผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ย้ายบุตรหลานเข้ามาเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองดินดำจนมีนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 48 คนในปีการศึกษา 2550 เป็น 153 คนในปีการศึกษา 2555 พร้อมได้อัตราครูเพิ่มอีก 4 ตำแหน่ง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหากไม่ใช่ “การใส่ใจ” ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
โรงเรียนบ้านหนองโจด
อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ
โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ชุมชนใหญ่หากไม่ตรึงคุณภาพไว้ในใจของผู้ปกครอง ก็จะเกิดการโยกย้ายเด็กไปเรียนในชุมชนใหญ่เพราะความเชื่อพื้นฐานของผู้ปกครองนักเรียนถือว่าโรงเรียนในชุมชนใหญ่ย่อมมีความพร้อมมากกว่าโรงเรียนในหมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนบ้านหนองโจด(นายวสันต์ ตาลทอง) จึงได้นำแนวคิดเทียบเคียงคุณภาพและมาตรฐานมาใช้เป็นตัวตั้งในการพัฒนาโรงเรียน ด้วยกลยุทธ์สร้างบ้านให้น่าอยู่กล่าวคือ ปรับปรุงภูมิทัศน์จัดชั้นเรียนให้สะอาด ร่มรื่น น่าดู น่าอยู่ น่าเรียน นักเรียนมีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม สนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียนได้พัฒนาการใช้หลักสูตรจนเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ได้รางวัลรองชนะเลิศการประเมินโรงเรียนพระราชทาน ปี 2554 และนักเรียนได้รับรางวัลพระราชทาน รองชนะเลิศ ปี2553 สนับสนุนให้ครูใช้นวัตกรรมฝึกอ่านฝึกเขียน จนนักเรียนระดับอนุบาล2สามารถอ่านเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ได้คล่องแคล่ว ใช้นวัตกรรมหนึ่งหน้าพาอ่านเก่งมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนจนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สามารถแจกลูกประสมคำสู่การอ่านคล่องเขียนคล่องได้ทุกคน ไม่มีสิ่งใดจะพึงพอใจผู้ปกครองมากกว่าการที่ส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนมาแล้วอ่านคล่องเขียนคล่องเพราะนั่นเป็นสิ่งบ่งบอกถึง “การใส่ใจ”ของครูในโรงเรียน จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ปกครองในชุมชนใหญ่พากันส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เกือบ30 คน จากนักเรียน 74 คน ในปี 2554 เป็น 102 คนในปี 2555 พร้อมได้รับอัตราครูเพิ่มอีก 1 คน
ยังมีกรณีศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในทำนองเดียวกันนี้จำนวนไม่น้อยทั่วประเทศโรงเรียนเหล่านี้สามารถพลิกวิกฤตได้ด้วยผู้บริหารโรงเรียนครูและบุคลากรทางการศึกษา มีความ “ใส่ใจ” มุ่งมั่น เสียเสียสละ อดทน ไม่ถือเอาข้อจำกัดมาเป็นปัญหาอาศัยการบริหารจัดการที่ดีเอาคุณภาพและมาตรฐานที่เกิดกับเด็ก มาสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นกับผู้ปกครอง ชุมชนท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กรภายนอก นำมาซึ่งทรัพยากรงบประมาณสนับสนุนสื่อการเรียนรู้แหล่งเรียนรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี สร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในบ้านหลังเล็กๆที่อบอุ่น โดยไม่ดูดซับงบประมาณของรัฐเกินที่ควรจะได้รับ ยิ่งได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากเขตพื้นที่การศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ก็จะเกิดความเข้มแข็ง เกิดเครือข่ายความร่วมมือเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน กรณีตัวอย่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิเขต 3 ได้สนับสนุนการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยใช้กระบวนการนิเทศระบบเครือข่ายร่วมมือกำหนดบทบาทหน้าที่ร่วมกันด้วยคู่มือปฏิบัติการนิเทศระหว่างศึกษานิเทศก์คณะกรรมการบริหารคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก และผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กสนับสนุนบทบาทการนิเทศภายในอย่าง “ใส่ใจ” (whole heart)ในการสร้างขวัญกำลังใจแก่ครูผู้ปฏิบัติงาน (moral supporter)กำกับติดตามการจัดการเรียนรู้(Monitoring)เป็นที่ปรึกษาที่พึ่งทางวิชาการของครู (mentoring)สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ของครูด้วยการนิเทศกิจกรรมสอนซ่อมเสริมด้วยสื่อลายเส้นการ์ตูนเพื่อการอ่านคล่องเขียนคล่อง และคิดเลขเป็น ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1-3 การขยายผลการสอนแบบคละชั้นการสอนเชิงบูรณาการในโรงเรียนที่ครูไม่ครบชั้น สร้างวัฒนธรรมการทำงานในระบบเครือข่าย ผลที่เกิดขึ้นหากชี้วัดด้วยผลการทดสอบระดับชาติปีการศึกษา 2554 ของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 41.61, 41.52, 39.36นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 44.05, 43.73, 43.48 โรงเรียนที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด7 ใน 10 ลำดับเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก
บทสรุปก็คือ หาก “ใส่ใจ” ที่จะพัฒนา และพัฒนาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อเด็กอย่างแท้จริง ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าภาคภูมิใจ ดังที่ท่าน.วชิรเมธี พระนักปราชญ์ที่กล่าวว่า“การพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดจาก “ใจ” ดังนั้น หากพัฒนาอย่างถูกทาง โรงเรียนขนาดเล็กไม่ได้เป็นตัวฉุดคุณภาพอย่างที่เข้าใจกัน
ขอบคุณครับ
๑. นำเสนอได้ดีมาก เข้าใจง่าย
๒ .๔ บรรทัดสุดท้าย ใช่เลย
๓. โรงเรียนเล็ก รักจะอยู่ อย่าบ่น อย่าเบื่อ
๔. บริหารจัดการ ก้าวผ่านปัญหา อุปสรรค และความขาดแคลนไปให้ได้
๖. คุณภาพ มันไม่ได้อยู่ที่คะแนนอย่างเดียวหรอก อย่ากลัว
๗. แล้วผมจะติดตามงานเขียนของท่านต่อไปครับ