น้ำมันไทย ไม่รู้ไว้บ้างไม่ได้ อาจทำให้ต้องใช้น้ำมันแพงไปตลอดกาลเพราะความไม่รู้ทันพวกขี้โกง
ความจริงที่คนไทยไม่เคยรู้ และยากที่จะรู้ แต่สามารถรู้ได้
โดย ม.ล. กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
นำมาจาก http://thai-energy.blogspot.com/2013/02/blog-post.html
1. ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบ ติดอันดับ 33 ของโลก ข้อมูลของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา EIA ได้จัดอันดับไทยให้อยู่่ลำดับที่ 24 ของโลกในการผลิตก๊าซธรรมชาติ และลำดับที่ 33 ของโลกในการผลิตน้ำมัน จากประเทศที่ผลิตน้ำมันกว่า 200 ประเทศ โดยสูงกว่าประเทศบรูไนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเศรษฐีน้ำมัน แต่ทำไมส่วนแบ่ง ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยจึงต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน และต่ำกว่าประเทศที่สูบน้ำมันและก๊าซได้น้อยกว่าประเทศไทย เช่น พม่าหรือกัมพูชา ??? สาเหตุเพราะ ประเทศไทยไม่เคยเจาะสำรวจปริมาณสำรองของแหล่งพลังงาน ทำให้ ไม่มีข้อมูล โดย ตรง จึงต้องเชื่อข้อมูลที่ได้รับสัมปทานโดยตรง ฝ่ายเดียว ซึ่งต่างจากประเทศอื่นที่ต้องสำรวจศักยภาพปิโตรเลียมก่อนแล้วจึงให้สัมปทาน การที่มาอ้างว่าไม่มีงบประมาณ ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปี มูลค่าก๊าซและน้ำมันดิบที่สูงกว่า 3.4 ล้าน ล้าน บาท ก็จะสูงกว่าค่าขุดเจาะมาก คือเสียเพียง 3.4 หมื่นล้านบาท (ซึ่งคิดเป็นเพียง 1%ของรายได้ที่ควรได้ ) แต่กลับไม่ทำ ในขณะที่กัมพูชายังจ้างบริษัทที่ปรึกษาถึง2บริษัทเพื่อมาประเมินศักยภาพ ปิโตรเลียมในประเทศตน (แต่ไทยไม่ทำ) 2. น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติบนขวานทองของไทย ปิโตรเลียม (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ) ของประเทศไทย มีทั้งบนบกและในทะเล (ข้อมูลที่ยืนยันคือประเทศไทย พบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ จำนวนมาก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่) ข้อมูลจากองค์กรกลุ่มโอเปกในรายงานประจำปี (Annual Statistical Bulletin 2010/2011) ระบุว่าไทยมีก๊าซธรรมชาติ มากกว่า กลุ่มประเทศโอเปก 8 ประเทศ ทุกวันนี้ประเทศไทยมีบ่อผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ 2768 แห่ง
3. ประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติ ติดอันดับ 24 ของโลก ปัจจุบัน ราชการอ้างว่า ปิโตรเลียมบ่อเล็กกำลังจะหมด แต่จากรายงานประจำปีของกระทรวงพลังงาน พบว่า ปริมาณน้ำมันปิโตรเลียมที่ขุดได้กลับเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่าน มา ข้อมูลการขุดน้ำมันในเดือนพฤษภาคม 2555 คือ 1ล้านบาร์เรล หรือ 160 ล้านลิตรต่อวัน Census Bureau (หน่วยงาน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ) จัดประเทศไทย ให้อยู่ในกลุ่ม World Major Producer ของก๊าซธรรมชาติ ติดอันดับการผลิตน้ำมัน Top 15% ของโลก แต่ผลประโยชน์ที่กลับคืนสู่ประเทศไทยกลับต่ำกว่า ประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตที่ต่ำกว่า ที่ประเทศสหรัฐ จะมีการทำข้อมูลทรัพยากรปิโตรเลียมอย่างโปร่งใส มีหน่วยงานกลางคอยเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันการสร้างผลประโยชน์ทับซ้อนของคน บางกลุ่ม นอกจากนั้นสหรัฐ ยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลกันได้ ในขณะที่ประเทศไทยกลับเอาผู้มีผลประโยชน์ทางด้าน พลังงาน ไปนั้งกำกับดูแลธุรกิจพลังงาน และคนดูแลเก็ยข้อมูลพลังงานกลับมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้รับสัมปทาน ทำให้งบการเงินของบริษัทขุดเจาะและผู้ค้าน้ำมัน มีกำไรมหาศาลจากปิโตรเลียมของไทย เป็นหลายแสนล้าน 4. สหรัฐนำเข้า น้ำมันดิบจากไทย แต่ขายถูกกว่าไทยลิตรละ 10 บาท คนไทยใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซลเพียง 73-75 ล้านลิตร ซึ่งเป็นอัตราคงที่มากว่า 8 ปีแล้ว ไทยส่งออกน้ำมันดิบชั้นดี มีมลภาวะต่ำ ไปขายสหรัฐ มีข้อมูลในเว็บของ Census Bureau (http://www.census.gov) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐ ระบุชัดเจนว่า สหรัฐนำเข้าน้ำมันดิบจากไทยมานานแล้ว ปี 2551 ไทยส่งออกปิโตรเลียม (น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว) รวมเกือบ 300,000 ล้านบาทหรือประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าข้าวและยางพารา ต้นเดือน มกราคมปี 2555 ไทยส่งออกน้ำมันดิบไปสหรัฐมาถึง 1.2 ล้านบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันเบนซินหน้าปั้มของสหรัฐ กลับมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินที่ขายในไทยถึงลิตรละ 10-14 บาท ทั้งๆที่สหรัฐเป็นประเทศการค้าเสรี ที่บริษัทพลังงานไม่อุดหนุนราคาน้ำมัน ดังนั้นแม้สหรัฐจะขายในราคานี้ สหรัฐก็ยังมีกำไรแน่นอน ฯลฯ |
ยังมีต่อคลิ๊กอ่านได้ในเว็บไซต์ข้างต้นครับ |
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9490000062851
“โสภณ” แฉคนไทยถูกปล้นจากราคาน้ำมัน “นักการเมือง-ทุนสิงคโปร์” งาบไป 5 แสนล้าน
ศูนย์ข่าวขอนแก่น - อดีต ส.ว.กรุงเทพฯ “โสภณ สุภาพงษ์” ระบุคนไทยต้องเผชิญปัญหาน้ำมันรุนแรงกว่าต่างชาติ เหตุเจอนักการเมืองขายชาติ สร้างผลประโยชน์ให้พวกพ้อง ปล้นคนไทยทั้งชาติด้วย แปรรูป ปตท.ฟันกำไรเหนาะกว่า 210,000 ล้านบาท อีกทั้งใช้อำนาจรัฐกำหนดราคาขายน้ำมันให้สูงกว่าความเป็นจริง สวาปามตลอดระยะเวลา 3 ปี กว่า 300,000 ล้านบาท อ้างรัฐได้ประโยชน์ ทั้งที่ถือหุ้นแค่ 30% ส่วนที่เหลือ 70% ถูกทุนสิงคโปร์ นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐงาบ
วันนี้ (13 พ.ค.) พันธมิตรประชาชนขอนแก่นเพื่อประชาธิปไตย จัดบรรยายในหัวข้อ “ใครอยู่เบื้องหลังน้ำมันแพง” มีนายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ ในฐานะอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก ปิโตรเลียม เป็นผู้บรรยายในหัวข้อดังกล่าว ซึ่งได้รับความสนใจจากบุคลากรในมหาวิทยาลัยขอนแก่น นักธุรกิจ ประชาชนทั่วไป ร่วมรับฟังไม่น้อยกว่า 200 คน ณ ห้องบรรยาย 3 คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นายโสภณ กล่าวถึงประเด็นปัญหาราคาน้ำมันว่า ณ ปัจจุบันประชาชนทั่วโลก กำลังเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันอย่างรุนแรง โดยทุกๆ ประเทศต้องเผชิญปัญหาราคาน้ำมันในลักษณะเดียวกัน คือ การเก็งกำไรจากราคาน้ำมันดิบของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาเก็งกำไร ปั่นราคาน้ำมันดิบ จากต้นทุนไม่เกิน 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ถูกบริษัทข้ามชาติเข้ามาเก็งกำไรราคาน้ำมัน จนราคาขึ้นมาถึง 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศกลับต้องเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมัน มากกว่าประเทศอื่น ด้วยปัจจัยภายในประเทศถึง 2 ปัจจัย คือ ประการแรก การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท. ถูกนำไปขายราคาต่ำให้กับต่างชาติสิงคโปร์ นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐบางคน เป็นส่วนใหญ่ โดยมีคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานเห็นชอบให้ขายในราคา 35 บาทต่อหุ้น ทั้งหมด 850 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท
ถือเป็นการนำเอาทรัพย์สินของประชาชน ไปขายให้กับต่างชาติ นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ ในราคาต่ำ เพื่อสร้างผลประโยชน์และกำไรให้กับตนเอง ณ ปัจจุบันราคาหุ้นปตท. มีราคาสูงถึง 245 บาทต่อหุ้น หรือรวมกันประมาณ 210,000 ล้านบาท เท่ากับหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ถึง 180,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหากำไรในระดับแรก
นายโสภณ กล่าวต่อว่า นอกจากคนไทยต้องเผชิญกับหากำไรจากจากการกำหนดราคาน้ำมันของคณะกรรมการนโยบายพลังงาน ที่มีนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ 5-6 คนเป็นทั้งผู้ถือหุ้น เป็นประธาน หรือกรรมการบริษัทน้ำมัน 7 บริษัท ประกอบด้วยโรงกลั่นในเครือ ปตท.4 บริษัท คือ สตาร์, ระยอง, ไทยออย์, บางจาก บริษัทน้ำมัน ESSO, RPC, TPI และบริษัท ปตท. ด้วยการกำหนดควบคุมราคาขายน้ำมันของบริษัทน้ำมันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 13 กพ. 46 เป็นต้นมา ทำให้ตลอดระยะเวลา 3 ปี ผลกำไรของ ปตท.และบริษัทน้ำมันทั้ง 7 แห่ง มีตัวเลขกำไรรวมจาก 22,099 ล้านบาท เมื่อปี 2545 (ก่อนกำหนดควบคุม) เป็นกำไร 56,686 ล้านบาทในปี 2546 กำไร 120,989 ล้านบาท ในปี 2547 และมีกำไรสูงถึง 202,020 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2548 ที่ผ่านมา
กำไรของบริษัทน้ำมันมาจากคณะกรรมการนโยบายกำหนดราคาน้ำมันให้บริษัทน้ำมันเพิ่มขึ้นมหาศาลมากกว่าต้นทุนค่าน้ำมันดิบที่เพิ่มจริง จากการปล่อยให้หากำไรจากสต๊อกน้ำมันราคาต่ำได้ และจากราคาก๊าซ เป็นต้น
นายโสภณ กล่าวต่อว่า การหาผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดังกล่าว ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มักจะอ้างว่ารัฐหรือประเทศชาติได้รับผลประโยชน์ จากการที่รัฐเข้าไปถือหุ้นบริษัทน้ำมัน แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว รัฐถือหุ้นเพียง 30% เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 70% มีทุนสิงคโปร์ นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นผู้ถือหุ้น และได้รับผลประโยชน์จากการกำหนดราคาดังกล่าว
นอกจากการหาผลประโยชน์จากราคาน้ำมันแล้ว นักการเมืองยังคิดที่จะแปรรูปประเทศ เพื่อหวังครอบครองธุรกิจน้ำมัน ไฟฟ้า ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจการบิน ด้วยการแปรรูปเป็นบริษัทเอกชน โดยธุรกิจน้ำมัน คนไทยต้องจ่ายเงินซื้อน้ำมันไม่น้อยกว่าปีละ 8 แสนล้านบาท
ส่วนการใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันคนไทยใช้ไฟฟ้าไม่น้อยกว่าปีละ 120,000 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท/ปี หากนักการเมืองสามารถเข้าไปครอบครอง กำหนดค่าไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 บาท/หน่วย จะสามารถสร้างกำไรได้ถึง 120,000 ล้านบาท/ปี ส่วนโทรคมนาคม มีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท/ปี
โครงสร้างดังกล่าว หากมีกลุ่มทุนเข้าไปครอบครองได้ทั้งหมด ด้วยการเอาทรัพย์สินของคนไทยทั้งประเทศ ไปแปรรูปเข้าตลาดหุ้น จะได้ผลประโยชน์สูงมาก สามารถสร้างผลกำไรได้ถึง 1.3 ล้านบาท/ปี และที่น่าเป็นหากกลุ่มทุนดังกล่าวเป็นนักการเมืองด้วยแล้ว จะหาผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ด้วยการเข้าไปกำหนดราคา กำหนดนโยบาย เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจดังกล่าว
ท่านผู้รู้เรื่องน้ำมันอุสาห่ทำการ์ตูนให้ดูกัน ก็ช่วยกันดู เรียนรู้กันไปนะครับ
เรื่องที่ 1 อ้างอิง ราคาน้ำมัน ที่โรงกลั่นสิงคโปร์เพื่อ...
เรื่องที่ 2 อมน้ำมัน ตอน หลุมน้ำมัน
ท่านนายกรัฐมนตรีท่านก็อยากให้คนไทยใช้น้ำมันไม่แพง
5 สาเหตุน้ำมันแพง
http://men.postjung.com/661566.html
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว ถึงข้อสรุปสาเหตุที่น้ำมันแพงว่ามี 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.กำหนดราคาขายคนไทยแพงกว่าส่งออก โดยหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นที่เข้าตลาดหลักทรัพย์เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กรณีจำหน่ายในประเทศให้ใช้ราคาเทียบเท่าราคานำเข้า ส่วนราคาส่งออกเทียบเท่าส่งออก โดยราคาจะต่างกันประมาณ 2 บาท ซึ่งข้ออ้างที่มีการชี้แจงในกรรมาธิการฯ วุฒิสภา คือเพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงกลั่น ทั้งนี่ หากมีการขายตามกลไกตลาด ราคาจะใกล้เคียงราคาส่งออก 2.การครอบงำธุรกิจการกลั่น จากกิจการโรงกลั่นทั้งหมด 6 โรง ปัจจุบัน 5 โรง มีผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกันคือ ปตท. ส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นไม่มีการแข่งขันและทำให้บริษัทพลังงานขนาดใหญ่มีอำนาจเหนือตลาด สามารถกำหนดค่าการตลาดได้สูงกว่าที่ควรจาก 1-1.5 บาทต่อลิตร ไปเป็น 2-12 บาทต่อลิตร ยกตัวอย่าง เบนซิน 95 ซึ่งสินค้าขายปริมาณการขายลดลง แต่มาจิ้น (ค่าการตลาด) เพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็นข้อสงสัยทางเศรษฐศาสตร์ ขณะที่ปั๊มน้ำมันได้ค่าส่วนแบ่งการตลาดน้อยมาก และตั้งแต่ปี 48-49 ค่าการตลาดติดลบ ทำให้ปั๊มน้ำมันที่ไม่มีโรงกลั่นต้องปิดตัวลงจำนวนมาก 3.เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่ออุ้มราคา LPG (ก๊าซหุงต้ม) ให้ธุรกิจปิโตรเคมี โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจปิโตรเคมีใช้ LPG เพิ่มขึ้น และอยู่ในอันดับสูงสุด คือประมาณ 1.6 ล้านตัน มากกว่าภาคยานยนต์ซึ่งตกเป็นจำเลยว่าแย่งใช้ก๊าซจากภาครัวเรือนและเป็นการใช้ก๊าซผิดประเภท ที่ใช้มากขึ้น 4.6 แสนตัน ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีซื้อ LPG ต่ำกว่าภาคครัวเรือนซึ่งต้องจ่ายภาษีเพื่อไปจากกองทุนน้ำมันอีกต่อหนึ่ง และซื้อต่ำราคาตลาดโลกประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่เคยใส่เงินเข้ากองทุนน้ำมันเลย ก่อนหน้าปี 2555 “ที่ควักเงินกองทุนน้ำมันไป แล้วทำให้น้ำมันแพง ก็คือเอาเงินไปหนุนราคาวัตถุดิบให้ธุรกิจปิโตรเคมีนั่นเอง ถามว่ากองทุนน้ำมันคือกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปรักษาระดับราคาวัตถุดิบแปรว่าอะไรครับ นี่แหละครับใช้ผิดประเภท ชัดเจนไหมครับ” มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2555 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมรวมถึง 968,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราเป็นประเทศที่ไม่เอาส่วนแบ่งการผลิตหรือส่วนแบ่งรายได้ เก็บแค่เพียงภาษีอากรกับค่าภาคหลวง รวมแล้วคือ 30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่า ขณะที่พม่าและกัมพูชาเก็บส่วนแบ่งกำไร และเมื่อปี 2547 ราคาน้ำมันอยู่ที่ 28 เหรียญต่อบาร์เรล ต่อมาขึ้นเป็น 100 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งแทบทุกประเทศในโลกมีการแก้ไขกฎหมาย แต่เราไม่แก้ เหล่านี้ส่งผลทำให้ส่วนแบ่งรายได้ของรัฐต่ำ 4.การให้สัมปทานถูก ผลประโยชน์จึงตกแก่บริษัทพลังงานอย่างมหาศาล ทั้งที่ประเทศไทยมีแอ่งสะสมก๊าซและน้ำมันดินจำนวนมากในทั่วทุกภูมิภาค แต่คนไทยต้องใช้ก๊าซแพงกว่าประเทศสหรัฐและเพื่อนบ้าน 5.การส่งออกน้ำมันดิบ ทั้งที่ขาดแคลน ทำให้ต้องนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและก๊าซหุงต้มมากกว่าที่ควรเป็น สุดท้ายในส่วนข้อเสนอ มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ต้องแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 ซึ่งใช้มากกว่า 40 ปี และ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (แก้ไขครั้งที่ 4) ปี 2532 เรื่องผลประโยชน์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และต้องแก้ไขมติ ครม.เรื่องการเอาก๊าซ LPG ไปให้ธุรกิจปิโตรเคมีก่อนประชาชน และควรขายให้ธุรกิจปิโตรเคมีในราคาตลาดโลก "มูลนิธิผู้บริโภค" แฉโครงสร้างการผูกขาดธุรกิจพลังงานไทย-พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ เอื้อประโยชน์ทับซ้อน
5 สาเหตุน้ำมันแพง
http://men.postjung.com/661566.html
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว ถึงข้อสรุปสาเหตุที่น้ำมันแพงว่ามี 5 ข้อ ประกอบด้วย
1.กำหนดราคาขายคนไทยแพงกว่าส่งออก โดยหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นที่เข้าตลาดหลักทรัพย์เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กรณีจำหน่ายในประเทศให้ใช้ราคาเทียบเท่าราคานำเข้า ส่วนราคาส่งออกเทียบเท่าส่งออก โดยราคาจะต่างกันประมาณ 2 บาท ซึ่งข้ออ้างที่มีการชี้แจงในกรรมาธิการฯ วุฒิสภา คือเพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงกลั่น ทั้งนี่ หากมีการขายตามกลไกตลาด ราคาจะใกล้เคียงราคาส่งออก
2.การครอบงำธุรกิจการกลั่น จากกิจการโรงกลั่นทั้งหมด 6 โรง ปัจจุบัน 5 โรง มีผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกันคือ ปตท. ส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นไม่มีการแข่งขันและทำให้บริษัทพลังงานขนาดใหญ่มีอำนาจเหนือตลาด สามารถกำหนดค่าการตลาดได้สูงกว่าที่ควรจาก 1-1.5 บาทต่อลิตร ไปเป็น 2-12 บาทต่อลิตร ยกตัวอย่าง เบนซิน 95 ซึ่งสินค้าขายปริมาณการขายลดลง แต่มาจิ้น (ค่าการตลาด) เพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็นข้อสงสัยทางเศรษฐศาสตร์ ขณะที่ปั๊มน้ำมันได้ค่าส่วนแบ่งการตลาดน้อยมาก และตั้งแต่ปี 48-49 ค่าการตลาดติดลบ ทำให้ปั๊มน้ำมันที่ไม่มีโรงกลั่นต้องปิดตัวลงจำนวนมาก
3.เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่ออุ้มราคา LPG (ก๊าซหุงต้ม) ให้ธุรกิจปิโตรเคมี โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจปิโตรเคมีใช้ LPG เพิ่มขึ้น และอยู่ในอันดับสูงสุด คือประมาณ 1.6 ล้านตัน มากกว่าภาคยานยนต์ซึ่งตกเป็นจำเลยว่าแย่งใช้ก๊าซจากภาครัวเรือนและเป็นการใช้ก๊าซผิดประเภท ที่ใช้มากขึ้น 4.6 แสนตัน ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีซื้อ LPG ต่ำกว่าภาคครัวเรือนซึ่งต้องจ่ายภาษีเพื่อไปจากกองทุนน้ำมันอีกต่อหนึ่ง และซื้อต่ำราคาตลาดโลกประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่เคยใส่เงินเข้ากองทุนน้ำมันเลย ก่อนหน้าปี 2555
“ที่ควักเงินกองทุนน้ำมันไป แล้วทำให้น้ำมันแพง ก็คือเอาเงินไปหนุนราคาวัตถุดิบให้ธุรกิจปิโตรเคมีนั่นเอง ถามว่ากองทุนน้ำมันคือกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปรักษาระดับราคาวัตถุดิบแปรว่าอะไรครับ นี่แหละครับใช้ผิดประเภท ชัดเจนไหมครับ” มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว
4.การให้สัมปทานถูก ผลประโยชน์จึงตกแก่บริษัทพลังงานอย่างมหาศาล ทั้งที่ประเทศไทยมีแอ่งสะสมก๊าซและน้ำมันดินจำนวนมากในทั่วทุกภูมิภาค แต่คนไทยต้องใช้ก๊าซแพงกว่าประเทศสหรัฐและเพื่อนบ้าน
5.การส่งออกน้ำมันดิบ ทั้งที่ขาดแคลน ทำให้ต้องนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและก๊าซหุงต้มมากกว่าที่ควรเป็น
สุดท้ายในส่วนข้อเสนอ มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ต้องแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 ซึ่งใช้มากกว่า 40 ปี และ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (แก้ไขครั้งที่ 4) ปี 2532 เรื่องผลประโยชน์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และต้องแก้ไขมติ ครม.เรื่องการเอาก๊าซ LPG ไปให้ธุรกิจปิโตรเคมีก่อนประชาชน และควรขายให้ธุรกิจปิโตรเคมีในราคาตลาดโลก
"มูลนิธิผู้บริโภค" แฉโครงสร้างการผูกขาดธุรกิจพลังงานไทย-พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ เอื้อประโยชน์ทับซ้อน