-----------
ข้อวิเคราะห์ทางกฎหมายที่ ๒ : โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ลุงตู่น่าจะมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดทั้งโดยหลักสืบสายโลหิตและหลักดินแดน
-----------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เรื่องของสิทธิในสัญชาติเป็นเรื่องตามกฎหมายมหาชน จึงต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายมหาชนของรัฐเจ้าของสัญชาติ ดังนั้นกฎหมายที่กำหนดการได้สัญชาติไทยก็คือกฎหมายของรัฐไทยที่มีผลในขณะที่นายชาญมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยอันอาจทำให้ได้สัญชาตินี้ ดังนั้นเมื่อฟังข้อเท็จจริงว่า นายชาญเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ กฎหมายที่กำหนดปัญหานี้ จึงได้แก่พ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖เพราะกฎหมายนี้มีผลตั้งแต่วันที่๑๐เมษายนพ.ศ.๒๔๕๖จนถึงวันที่๑๒กุมภาพันธ์พ.ศ.๒๔๙๕
อนึ่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖ยอมรับให้บุคคลมีสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยผลของกฎหมายภายใต้ข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริงแรก ก็คือ บุคคลย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดา เมื่อมีข้อเท็จจริง ๒ ประการ ดังต่อไปนี้ (๑) บิดาเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายในขณะที่บุตรเกิด และ (๒) บิดาเป็นบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยในขณะที่บุตรเกิด ทั้งนี้ เป็นไปภายใต้มาตรา๓ (๑) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖ หรือ
ข้อเท็จจริงที่สอง ก็คือ บุคคลย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา เมื่อมีข้อเท็จจริง ๒ ประการ ดังต่อไปนี้ (๑) เกิดโดยมีมารดาเป็นคนสัญชาติไทย และ (๒) ไม่ปรากฎบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ เป็นไปภายใต้มาตรา๓ (๒) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖ หรือ
ข้อเท็จจริงที่สาม ก็คือ บุคคลย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักดินแดนหากเกิดในประเทศไทย ทั้งนี้ เป็นไปภายใต้มาตรา๓ (๓) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖
ในประการแรก หากเราฟังว่า นายป่วน สุจินดา เป็นคนดั้งเดิมที่อาศัยในชุมชนนางเลิ้ง จึงน่าจะฟังว่า เขาเป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่ในประเด็นความเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายชาญนั้น กรณีอาจจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ซึ่งความเป็นไปได้ย่อมมี ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) หากเป็นการอยู่กินกันฉันสามีภริยาหลัง พ.ศ.๒๔๗๘ โดยมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย นายป่วนก็จะไม่มีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายชาญ หรือ (๒) หากฟังได้ว่า นายป่วนและนางผิวอยู่กินกันฉันสามีภริยาก่อน พ.ศ.๒๔๗๘ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.๒๔๗๘ นายป่วนก็จะมีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายชาญ ดังนั้น เมื่อมาพิจารณากำหนดสิทธิในสัญชาติไทยของนายชาญ จึงอาจเป็นไปได้ใน ๒ ลักษณะเช่นกัน กล่าวคือ (๑) หากนายป่วนไม่มีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายชาญ นายชาญก็จะไม่อาจมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืยสายโลหิตจากบิดา หรือ (๒) หากนายป่วนมีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายชาญ นายชาญย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืยสายโลหิตจากบิดา โดยผลของมาตรา๓ (๑) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖ เพื่อที่จะมีความเห็นที่ชัดเจนในประเด็นนี้ นางสาวสายชลและคณะจึงต้องไปแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาที่นายป่วนและนางผิวเริ่มต้นอยู่กินฉันสามีภริยา
ในประการที่สอง เมื่อเราฟังข้อเท็จจริงว่า นางผิวเป็นคนดั้งเดิมของชุมชนนางเลิ้ง และปรากฏตามมรณบัตรว่า เธอได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในยุคเก่า นายชาญจึงมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาโดยการเกิดโดยผลของมาตรา๓ (๒) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖ หากเราฟังไม่ได้ว่า นายป่วนเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในทางกลับกัน หากเราฟังว่า นายป่วนเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย นายชาญก็ไม่อาจมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา เพราะปรากฏตัวบิดา
แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ตระหนักว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นใดในส่วนความเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายป่วน นายชาญย่อมจะมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี
ในประการที่สาม เมื่อเราฟังข้อเท็จจริงว่า นายชาญเกิดในประเทศไทยเมื่อพ.ศ.๒๔๘๔ นายชาญก็ย่อมได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิดโดยผลของมาตรา๓ (๓) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.๒๔๕๖
นอกจากนั้น ยังปรากฏว่า นายชาญได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕ โดยผลของมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ที่กำหนดให้นำมาตรา ๗ (๑) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ย้อนหลังมาใช้ต่อนายชาญ หากปรากฏว่า นายป่วนเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนาบชาญ
นอกจากนั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่ชี้ว่า นายชาญเสียสัญชาติไทยที่ได้มา เขาจึงยังมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด จึงเป็นหน้าที่ที่นายทะเบียนท้องถิ่นของเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายที่จะเพิ่มชื่อของเขาในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในสถานะคนสัญชาติไทย ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา ๓๖ วรรค ๑ แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งถูกแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า “ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้าน สำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร” แต่ภายใต้มาตรา ๓๗ แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน “การเพิ่มชื่อและรายการของบุคคลลงในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลาง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด” จึงต้องไปดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวเพื่อเพิ่มชื่อนายชาญในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลางต่อไป
ไม่มีความเห็น