ยางพาราพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของประเทศไทย
โดยที่ผ่านมามีการผลักดันส่งเสริมอย่างมากในหลายหน่วยงานของภาครัฐ
เนื่องด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ ทั้งกลุ่ม BRIC และในปัจจุบันมีการเพิ่มประเทศแอฟริกาใต้เข้าไปอีก (BRICS)
ยิ่งเพิ่มความร้อนแรงในการใช้ทรัพยากรมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
อย่างน้อยเพียงแค่จีนและอินเดียสองประเทศ
ผู้เขียนคิดว่าสร้างความร้อนแรงและสีสันให้โลกอยู่มาโขทีเดียว
ถ้ายักษ์ใหญ่สองตนนี้ไม่สะดุดขากันเองล้มไปเสียก่อน
เพราะอย่าลืมว่ามีอีกหลายประเทศที่จ้องที่จะกระทืบซ้ำรุมทึ้งมีอยู่อีกมากเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ
ในปัญหาการครอบครองหมู่เกาะเล็กน้อยที่เป็นข้อพิพาทแบ่งกันไม่ลงตัว
ยิ่งจีนตัวใหญ่เท่าใดรู้สึกว่าน้ำใจความประนีประนอมจะยิ่งน้อยลงไปทุกวัน
ในช่วงที่ความต้องการยางพาราในตลาดโลกมีสูงมากราคายางพาราในประเทศไทยยังคงขึ้นทะลุเพดานไปอยู่ที่
140-150 บาทต่อกิโลกรัมก็เคยมีมาแล้ว
จึงมีการระดมส่งเสริมให้ปลูกกันเกือบทั่วประเทศทั้งเหนือกลางออกตกอีสาน
ใช่ว่าจะมีแต่เฉาพะภาคใต้อีกต่อไปแล้วนะครับ
พี่น้องปักษ์ใต้จะต้องยินยอมน้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้ด้วยนะครับ
เพราะอาชีพปลูกยางที่มีมากขึ้นนั้นส่งผลทำให้ราคายางพาราอาจจะตกต่ำ
ยิ่งประเทศจีนมีการยุยงส่งเสริมให้ทั้งเมียนมาร์ ลาว เวียดนามและกัมพูชาปลูกด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องราคาจะทำให้ราคายิ่งลดน้อยถอยต่ำลงกว่าเดิมก็เป็นไปได้.
จึงควรต้องมองหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้แก่ตนเองไว่บ้าง
เพื่อชดเชยในช่วงระยะที่ยางพารามีราคาตกต่ำ
(ความชำนาญในการผลิตน้ำยางของภูมิภาคอื่นก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นในทุกขณะ)
หลังจากผ่านฝนเริ่มมาชนกับหนาวอากาศที่เย็นสบายจะช่วยทำให้ต้นยางผลิตน้ำยางมากขึ้น
เกษตรกรชาวสวนยางสามารถที่จะเห็นผลผลิตน้ำยางออกมาอย่างเอมอิ่มปริ่มล้นจอกกันถ้วนทั่วเลยทีเดียว
หลังจากนั้นประมาณสองสามเดือนเมื่อเริ่มเข้าสู่อากาศที่อุ่นและร้อนขึ้นยางพาราก็เริ่มที่จะผลัดใบส่วนมากภาคใต้ก็จะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
หลังจากนั้นก็จะเริ่มผลิใบใหม่ออกมาจนเข้าถึงระยะใบเพสลาด (กลางอ่อนกลางแก่).
ก็จึงเริ่มต้นกรีดกันใหม่อีกทีหนึ่ง
ในระยะที่มีสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมีทั้งร้อน หนาว น้ำค้าง เย็น ฝนโปรย
ส่งผลให้เกิดโรคและแมลงระบาดนอกฤดูกาลอยู่ค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะยางพาราที่มีปัญหาเพลี้ยแป้งในช่วงยางผลัดใบและกำลังเริ่มแตกใบอ่อน
สภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวนจะทำเกิดโรคราแป้ง
หรือโรคใบร่วงออยเดียม (Powdery mildew or Oidium Leaf Disease) ซึ่งเกิดจากเชื้อรา Oidium heveae Steinm ลักษณะทั่วไปจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นกระจุกเส้นใยสีขาว
ถ้าส่องดูด้วยแว่นขยายจะเห็นสปอร์ติดกันเป็นลูกโซ่อยู่ปลายเส้นใย
โดยกลุ่มของเชื้อราเจริญได้ดีบนใบ มองเห็นเป็นรอยหย่อมๆ ทั่วไป
ซึ่งเชื้อสกุลออยเดียมที่พบทำลายใบและดอกยางเป็นชนิด Oidium
heveae ซึ่งเจริญเติบโตบนเนื้อเยื่อของพืชที่มีชีวิตเท่านั้น
เกษตรกรสามารถที่จะดูแลป้องกันได้ด้วยการใช้จุลินทรีย์ชีวภาพกำจัดเชื้อรา
"ไตรโคเดอร์ม่า" หรือ "บีเอสพลายแก้ว" ทำการฉีดพ่นทุก 7 วันหรือการใช้หินแร่ภูเขาไฟ (ชื่อการค้า พูมิชซัลเฟอร์)
หว่านรอบทรงพุ่มโคนต้นทุกครั้งที่ให้ปุ๋ยก็จะช่วยสร้างภูมิต้านทานสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผนังเซลล์ลดการเข้าทำลายของโรคแมลงได้เป็นอย่างดี
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
ไม่มีความเห็น